แต่ว่า จะให้เธอวางใจลงได้ยังไง?
เธอเคยผ่านเรื่องที่สุดจะทนมามากมายขนาดนั้น พื้นหลังของครอบครัวของเธอ อดีตของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอล้วนแต่เผยออกมาอยู่ต่อหน้าเขาอย่างที่ไม่สามารถสงวนเอาได้เลยสักนิด มาอยู่ต่อหน้าโลกใบนี้ โดยที่ไม่มีการปกป้องเลยสักนิด
ถ้าเธอไม่สามารถสงวนใจดวงนี้เอาไว้ได้จริงๆแบบนี้ แล้วจะได้รับสิ่งตอบแทนและความรักที่ตนเองควรจะได้รับจริงๆไหม?
เฟิงยี่พอเห็นว่าในตาเธอมีความลังเล สายตาก็มืดมน ยื่นมือออกมา ปลายนิ้วไปลูบๆที่ตาของเธอเบาๆ
“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนี้ เหยาเหยา สายตาแบบนี้จะทำให้ใจผมแตกสลาย”
ในคำค่ำคืนที่เงียบสงัด เสียงของเขาแหบแห้ง แฝงไปด้วยลมหายใจที่ราวกับว่าหมดแล้วซึ่งหนทาง
เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงแบบนี้ออกมาจากปากของเขา
เมื่อก่อนเขาทั้งเย่อหยิ่งทั้งทะนงตัว กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ตอนนี้ กลับเหมือนนักเดินทางที่เดินทางมานานมากแล้ว กอดเธอไว้พลางทอดถอนใจออกมาแบบนี้
ขอบตาของถังลั่วเหยาเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาไม่น้อย
เธอขัดขืน โชคดีที่เฟิงยี่ไม่ได้กอดเธอต่อ ยอมให้เธอยืนขึ้นมาได้สำเร็จ
ถังลั่วเหยาถอยหลังไปยืนตั้งหลัก ไม่กล้ามองเขา แค่ก้มลงมองที่พื้น ฝืนยิ้มออกมา
“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว มาพูดอะไรแบบนี้ทำไม? ฉันเหนื่อยแล้ว มีอะไรก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน”
พูดจบ ก็หันกำลังจะเดิน
เฟิงยี่เห็นแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว กำลังจะเปิดปาก
แต่ก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมา จู่ๆก็ปิดปากกลืนลงไปก่อน
เขาแค่ลุกขึ้นยืน มองเธอ ก่อนจะพูดขึ้น“ดึกมากแล้ว คืนนี้ก็นอนที่นี่ก็แล้วกัน ถ้าคุณอยากกลับไป พรุ่งนี้ผมจะไปส่งคุณเอง”
ถังลั่วเหยาหยุดฝีเท้าลง คิดๆ สุดท้ายก็ตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธ
ช่วงค่ำ ถังลั่วเหยานอนอยู่ในห้องรับแขกชั้นบน
เธออาบน้ำเสร็จ ก็นอนลงบนเตียง มองดวงดาวเต็มท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายสุดๆ
หลายปีก่อน น้ำเสียงที่เย็นชาหยาบกระด้างเสียงนั้นดังขึ้นมาข้างๆหูเธออีกครั้ง
เธอไม่รู้ พฤติกรรมในตอนนี้ของตนเอง ตระหนี่มากเกินไป หรือระมัดระวังตัวมากเกินไป
แต่เธอเหนื่อยมากจริงๆ เธอไม่เต็มใจที่จะไปเผชิญหน้าอีกแล้ว ไม่อยากเจอกับความรักที่เจ็บปวดทรมานหัวใจแบบนั้นอีกแล้ว
เธอรู้ดี ว่าเฟิงยี่ดูผิวเผินอาจจะเป็นคนที่ทีเล่นทีจริง ไม่จริงจังกับอะไรทั้งนั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นคนที่กตัญญูมากๆคนหนึ่งเลย
ถ้าตนเองตอบรับเขาไปจริงๆ แล้วในอนาคตถึงวันที่เขาต้องทำการเลือกขึ้นมา เขาก็จะเป็นคนที่เจ็บปวดทรมาน
อีกทั้งยัง……จริงๆแล้วเธอไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าเขาจะเลือกตนเองตลอด
เธอรู้ดี ว่าตัวเองไม่ควรมีความคิดแบบนี้
เธอรู้ดี ว่าตัวเองควรจะมั่นใจในตัวเขา
แต่เธอกลัวจริงๆ
เธอไม่กล้าพนัน เธอยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาด
กล้าแค่หลบซ่อนในที่ที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัยเท่านั้น ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกมา
แม้ว่าอยู่ที่นี่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ แม้ว่า ถ้ามีสักวันที่เขาจะจากตัวเองไปจริงๆ เธอก็จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
แต่ความรักตัวเองที่ยากจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวอยู่รอบหัวใจอย่างแน่นหนามาตั้งแต่เด็ก เธอไม่สามารถเพิกเฉยได้
ค่ำคืนนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปได้ยังไง
จำได้แค่ว่า คืนนี้เธอฝัน
ในความฝัน ไม่มีวันเวลาที่มืดมนไร้ซึ่งแสงสว่างเหมือนในตอนเด็กอีกต่อไปแล้ว
เธอฝันถึง พ่อที่จู่ๆก็มีชีวิต
พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูก ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แถมพ่อยังเป็นทหารที่มีความสามารถที่สุดของคุณท่านเฟิงเหมือนในสมัยนั้นอีกด้วย
แม่ก็นั่งถักนิตติ้งอย่างชำนาญให้กับเธออยู่หน้าริมหน้าต่าง
ส่วนเธอ กลับไม่ใช่เด็กน้อยที่อายุสองสามขวบคนนั้นเหมือนในสมัยนั้นอีกแล้ว
แต่กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งสามคนพ่อแม่ลูก ก็เหมือนกับครอบครัวธรรมดาทั่วๆไปบนโลกใบนี้ ชีวิตที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความสุข
ถังลั่วเหยาฝันๆอยู่ พอเธอตื่นขึ้นมา ก็พบว่าหมอนของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาเรียบร้อยแล้ว
ข้างนอกหน้าต่างมีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา เมื่อวานเธอลืมปิดผ้าม่าน
โชคดีที่แสงอาทิตย์ของฤดูหนาวไม่แยงตามากนัก แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นด้วยซ้ำ
เธอคิดในใจ ดีจริงๆ
เมื่อวานมีดวงอาทิตย์ วันนี้ก็มี
มันกำลังบ่งบอกอะไรใช่ไหม หลังจากที่ความเศร้าเสียใจผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสวยงามขึ้นมาใช่ไหม?
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ
ขณะที่คิดจะลุกออกจากเตียง จู่ๆก็ได้ยินเสียงถ้วยชามแตกดังขึ้นมาจากข้างล่าง
เธออึ้งตะลึงไป นึกว่าเฟิงยี่ตื่นเช้า แล้วเผลอทำของแตกอย่างไม่ได้ตั้งใจ
จากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันตามมา
“โอ้ ฉันก็ว่าอยู่ว่าเสี่ยวยี่ช่วงนี้ไม่ยอมกลับบ้านวันๆเอาแต่อยู่ข้างนอกบ้าน นึกว่าไปเจอคุณหนูของบ้านไหนเข้าเสียอีก ที่แท้ก็เป็นยัยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่เอง!”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปซีดขาวทันที!
เสียงนี้มัน……
เสียงนี้ เธอจำมันได้ตลอด แถมไม่มีวันลืมด้วย
นั่นก็คือแม่ของเฟิงยี่นั่นเอง ตู๋กูยิง!
เธอรีบพลิกตัวลุกขึ้นมาทันที ออกไปข้างนอกอย่างลุกลี้ลุกลน
ในเวลานี้เอง ในห้องรับแขกชั้นล่าง
ตู๋กูยิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟา มองสี่คนที่ยืนอยู่รอบๆด้วยท่าทีเย่อหยิ่งข่มเหง
สองคนในนั้นก็คือบอดี้การ์ดที่ยี่เฟิงสั่งให้เหลิ่งเม่ยเตรียมมาให้กับเธอ แล้วยังมีหนึ่งคนที่เธอไม่รู้จัก เป็นเด็กผู้หญิงที่ดูอายุยังไม่เยอะ ส่วนอีกคนก็คือเสี่ยวฉิง
ส่วนเนี่ยเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่
ถังลั่วเหยาสีหน้าเปลี่ยนไป รีบลงมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว
“เธอยังไม่ตื่นอีกเหรอ? สงสัยคงจะต้องให้ฉันไปเชิญเธอลงมาด้วยตัวเองแล้วล่ะมั้ง?”
ตู๋กูยิงพูดจบ จู่ๆก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ใสแจ๋วดังขึ้นมาข้างๆทันที
“ไม่ต้อง ฉันตื่นแล้ว”
พอหันไป ก็เห็นถังลั่วเหยากำลังเดินตรงเข้ามา
เสี่ยวฉิงเห็นเธอ ก็เหมือนกับเห็นคนที่จะเข้ามาช่วยชีวิตอย่างไรอย่างนั้น รีบวิ่งไปหาเธออย่างรวดเร็ว
พูดขึ้นเสียงเบาๆ“พี่ลั่วเหยา เธอ……”
ถังลั่วเหยายกมือขึ้น ตบลงที่ไหล่ของเธอเบาๆ บอกเป็นนัยให้เธอไม่ต้องพูดอะไรก่อน ตัวเองเข้าใจหมดแล้ว
เสี่ยวฉิงมองเธอด้วยความเห็นอกเห็นใจ
แม้ว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวฉิงจะไม่ค่อยชอบให้ถังลั่วเหยากับเฟิงยี่อยู่ด้วยกัน แต่หลังจากผ่านเรื่องที่เหอศื่อลักพาตัวในครั้งนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่าการที่ถังลั่วเหยากับเฟิงยี่อยู่ด้วยก็ไม่เลวเหมือนกัน
แม้ว่าเฟิงยี่จะดูผิวเผินเหมือนคนอารมณ์ไม่ค่อยดี ขี้หงุดหงิดเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็มีความจริงใจต่อถังลั่วเหยา
คิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะเปลี่ยนความคิดไปเอง วันนี้ตอนเช้าเธอไปเอาของกำลังจะมารับถังลั่วเหยากลับไปที่กองถ่าย จู่ๆก็มาเจอกับยัยแม่มดแก่คนนี้
ใช่แล้ว ในสายตาของเสี่ยวฉิง ตู๋กูยิงที่พูดจาเย็นชาหยาบกระด้างนี้ ก็คือยัยแม่มดแก่นั่นเอง
เช้าตรู่ ยังไม่มีใครไปก้าวก่ายอะไรเธอเลย แต่เธอกลับมาอาละวาดอย่างไม่ทราบสาเหตุที่นี่ซะอย่างนั้น
เหมือนกับยุคสมัยโบราณ ที่แม่สามีจะชอบมากดดันลูกสะใภ้
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่เสี่ยวฉิงมองไปยังถังลั่วเหยา ก็ยิ่งเห็นอกเห็นใจมากขึ้นไปอีก
ให้ตายสิ พี่ลั่วเหยาน่าสงสารจริงๆ
กว่าจะหาคนที่ตัวเองชอบเจอไม่ใช่ง่ายๆ อีกนิดเดียวก็จะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการแล้ว ถ้าแม่ของอีกฝั่งไม่เห็นด้วย แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ
แต่ในเวลานี้ถังลั่วเหยากลับไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น
เมื่อก่อน ตอนที่ตู๋กูยิงไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เธอก็เอาแต่รู้สึกกังวลมาตลอด
แต่ตอนนี้ตอนที่เธอปรากฏตัวออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของตนเองกลับแอบรู้สึกถอนหายใจออกมา
บางที นี่อาจจะเป็นความรู้สึกที่ว่า ไม่กลัวว่าจะมีศัตรูแต่กลัวศัตรูที่ยังคงแอบซ่อนตัวอยู่มากกว่า ไม่รู้ว่าจะกระโดดมากัดตัวเองตอนไหน