เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า“แม่ เสื้อผ้าในบ้านพวกนั้นท่านซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว มันตกเทรนด์ไปตั้งนานแล้ว อีกอย่าง หลายวันก่อนที่บ้านใครบ่นทุกวันว่าเสื้อผ้าไม่สวย ไม่มีเสื้อใหม่ใส่เลย”
เมื่อแม่ถังได้ยิน ก็รู้สึกเขินเล็กน้อยจนอดที่จะหน้าแดงไม่ได้
หลายวันก่อน ตอนที่เธอเก็บสัมภาระเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน เคยพูดเช่นนี้จริงๆ
บอกว่าเห็นน้าหลี่ที่นอนโรงพยาบาลเตียงข้างกัน แต่งตัวสวยทุกวัน เธอรู้สึกว่าตัวเองใส่ธรรมดาเกินไป จนทำให้ดูแกไปเลย
เธอหมายความว่า ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ถังลั่วเหยาคือดาราดังคนหนึ่ง เธอที่เป็นแม่คนนี้ จะใส่เสื้อผ้าปอนๆไม่ได้
ไม่อย่างนั้น ต่อไปถ้าออกไปข้างนอก จะทำให้ลูกสาวขายหน้าได้
ให้คนนินทาว่า ลูกสาวระดับนี้แล้ว ทำไมคนเป็นแม่ยังใส่เสื้อผ้าปอนๆเช่นนี้
ดังนั้น ตอนนั้นเธอถึงพูดว่า อยากจะไปซื้อเสื้อผ้า
แต่ก็ไม่คิดว่า เสื้อผ้าในตอนนี้จะขายแพงเช่นนี้
แม่ถังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ถังลั่วเหยาจะพาเธอมาห้างสรรพสินค้าระดับสูงเช่นนี้
เนื่องจากปัญหาสุขภาพร่างกาย และก็เพราะการพัวพันของเหอศื่อในหลายปีมานี้ เธอไม่ได้ออกมาเดินช้อปปิ้งนานมากแล้วจริงๆ
ดังนั้น เกี่ยวกับสถานการณ์ข้างนอกพวกนี้ เหมือนขาดหายไปจากชีวิตของเธอช่วงหนึ่งอย่างไม่รู้จักดีพอ
แม่ถังมองดูร้านค้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตาและสินค้าที่เต็มร้านค้าด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
เธอลดเสียงต่ำลงอย่างลำบากใจแล้วกล่าวเสียงเบากับถังลั่วเหยาว่า “ของพวกนี้แพงเกินไปแล้ว รู้สึกว่าซื้อแล้วไม่คุ้ม”เมื่อถังลั่วเหยาได้ยินเช่นนั้น ก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม
เธออธิบายอย่างใจเย็นว่า “แม่ พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ถึงแม้ราคาของพวกนี้จะแพงไปนิด แต่ก็มีเหตุผลของความแพงของมันในตัวอยู่”
เธอชี้ไปที่ร้านค้าที่ดูแล้วสไตล์ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่กว่า แล้วกล่าวว่า “อย่างเช่นร้านนี้ ท่านดูนะ เสื้อผ้าทุกตัว ล้วนสั่งตัดพิเศษ และก็หมายถึงว่า เมื่อท่านใส่ออกไปแล้ว จะไม่ชนกับเสื้อของคนอื่น”
“จากนั้นก็เรื่องการออกแบบและงานฝีมือของมัน ท่านรู้ไหม ดีไซเนอร์ของร้านนี้คือเอมี่ดีไซเนอร์ชั้นนำระดับโลก กว่าจะฝึกฝนดีไซเนอร์ออกมาได้คนหนึ่ง จะต้องใช้ความพยายามเป็นเวลาหลายสิบปี”
“ความพยายามหลายสิบปี ถึงจะได้ดีไซเนอร์ออกมาคนหนึ่ง เขาออกแบบเองกับมือ แล้วตัดเย็บเสื้อผ้ากับมือเอง ขายหลายหมื่นหรือแสนกว่า ก็สมเหตุสมผลมากไม่ใช่หรือ ”
“อีกอย่างหากท่านสังเกตดูดีๆ ก็จะเห็นไข่มุกบนนั้น ซึ่งล้วนเป็นงานเย็บด้วยฝีมืออย่างประณีต จากจุดนี้ ก็เพียงพอสำหรับการอธิบายว่าชุดนี้มีค่ามากแล้ว ”
ก่อนหน้านั้น แม่ถังสังเกตเห็นแค่ราคา แต่กลับไม่ได้สังเกตดูพวกนี้
ตอนนี้พอถังลั่วเหยาอธิบายแบบนี้ บวกกับตั้งใจดูอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ
ในที่สุด แม่ถังก็พูดออกมาอย่างเจ็บปวดเล็กน้อยว่า “ถ้าอย่างนั้น…….เรามาดูกันใหม่”
ถังลั่วเหยายิ้มพยักหน้า
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันอีกครั้ง ท่านเห็นตัวไหนที่ถูกใจเราค่อยว่ากัน ”
เมื่อตกลงกันแล้ว ทั้งสองก็เดินช้อปปิ้งกันต่อ
ยังดีที่คำอธิบายของถังลั่วเหยาเมื่อกี้นี้น่าจะเข้าหูเธอแล้วจริง
ดังนั้นช่วงหลังที่เดินช้อปปิ้งกัน แม่ถังกลับไม่ต่อต้านว่าแพงเกินไปเหมือนทีแรก
ในที่สุด ก็ซื้อเสื้อโค้ตสองตัวกับชุดกระโปรงสีพื้นหนึ่งชุด จึงจากไปอย่างพึงพอใจ
ตอนที่ออกจากห้างสรรพสินค้า เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นเอง
กว่าเฟิงยี่จะเลิกงานหกโมงแล้วมา ยังมีเวลาอีกสองชั่วโมง
ทั้งสองก็ไม่อยากจะเดินช้อปปิ้งอีกแล้ว เลยตัดสินใจไปนั่งในร้านกาแฟบริเวณใกล้เคียง รอเขาเลิกงาน
เมื่อถึงร้านกาแฟ ถังลั่วเหยาสั่งกาแฟสองแก้ว และนั่งลงในตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างไกลพร้อมวิวที่สวยงามในพื้นที่วีไอพีบนชั้นสอง
หลังจากนั่งลงและพูดคุยกันสองสามคำ ก็เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังเดินมาทางนี้
วันนี้ตู๋กูยิงพาหลานสาวซึ่งเป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องออกมาเดินช้อปปิ้ง
และก็เดินจนเหนื่อยแล้ว เตรียมจะหาร้านกาแฟใกล้เคียงนั่งลงพักผ่อนสักครู่ ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกเขา
เมื่อสองคนเจอหน้ากัน บรรยากาศอึมครึมมาก
สีหน้าตู๋กูยิงเย็นชาลงทันทีทันใดอย่างเห็นได้ชัด
ถังลั่วเหยาเม้มริมฝีปาก ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
แต่ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็จะทำเป็นไม่เห็นไม่ได้
ดังนั้น จึงกลั้นใจยืนขึ้น แล้วกล่าวว่า“ป้าเฟิง ช่างบังเอิญจริงๆ”
ในทีแรกแม่ถังยังจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
ไม่ว่าอย่างไร เวลาผ่านมานานเช่นนี้ ตอนเห็นตู๋กูยิงแวบแรก เธอรู้สึกแค่ว่าคนคนนี้หน้าคุ้นมาก
เมื่อได้ยินถังลั่วเหยาเรียก ถึงนึกขึ้นมาได้
และลุกขึ้นตามด้วยความประหลาดใจและดีใจ แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “คนนี้คือ ………คุณนายน้อยเฟิงหรือ”
เพราะว่าเดิมทีตอนที่ครอบครัวถังยังอยู่ในเมืองหลวง คุณท่านเฟิงและคุณนายใหญ่ยังอยู่
ส่วนตู๋กูยิงที่เป็นภรรยาของเฟิงสิงลัง ถูกเรียกว่าเป็นคุณนายน้อยของตระกูลเฟิงเสมอ
แต่สิ่งที่แม่ถังมองข้ามไปคือ ระยะห่างจากตอนนั้น ตอนนี้ได้ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
คุณนายน้อยในตอนนั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นนายหญิงผู้ดูแลตระกูลเฟิงอย่างแท้จริงแล้ว เมื่อคนนอกเห็นเธออีกครั้ง ล้วนเรียกเธออย่างสุภาพว่าคุณนายเฟิง มีคำว่า“น้อย”เพิ่มกันที่ไหน
ดังนั้น ทันทีที่ตู๋กูยิงได้ยินคำเรียกเช่นนี้ สีหน้าซีดลงทันที และยิ่งดูไม่ดีไปใหญ่
“ที่แท้ก็พวกเธอนี่เอง ไม่ได้เจอคุณนายถังมาสิบกว่าปีเห็นจะได้ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ”
บนใบหน้าเธอเปื้อนด้วยรอยยิ้มจางๆ ท่าทีกลับโอ้อวดและห่างเหิน
แม่ถังถูกท่าทางกดขี่ข่มเหงของเธอ ทำให้รู้สึกอับอายเล็กน้อย
ฝืนยิ้มแล้วตอบว่า “สบายดีค่ะ ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี คุณนายน้อยเฟิงยิ่งอยู่ยิ่งสวยขึ้น หากไม่ใช่เราเคยรู้จักมาก่อน ถ้าเจอกันครั้งแรก ฉันคงคิดว่าเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปีแน่เลย ”
ไม่ว่าอย่างไร ขอประจบสอพลอเข้าไว้ก่อน
ถึงแม้แม่ถังจะไม่รู้ว่า ทำไมท่าทีตู๋กูยิงถึงดูไม่พอใจเช่นนั้น
แต่ลูกของทั้งสองครอบครัวก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว พูดไปแล้วก็ถือว่าเกี่ยวดองเป็นญาติกันแล้ว
ทำให้ความสัมพันธ์บาดหมางเกินไปจะไม่ค่อยดี ดังนั้นหากจะพูดคำดีๆสองสามคำเพื่อทำให้ตู๋กูยิงมีความสุข เธอก็ยินดีที่จะพูดด้วย
เพราะว่าก่อนหน้านั้นก็เคยพูดแล้วว่า จะไม่ยุ่งเรื่องระหว่างพวกเขาหนุ่มสาวสองคนอีก
จนถึงตอนนี้ แม่ถังก็ยังไม่เคยถาม เกี่ยวกับปัญหาทัศนคติของทางตระกูลเฟิงต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง
ไม่ว่าอย่างไรเมื่อก่อนเคยตามพ่อถังไปอยู่ตระกูลเฟิงอยู่ช่วงหนึ่ง
เธอรู้ดีว่าตู๋กูยิงคนนี้บางครั้งจะค่อนข้างเจ้าอารมณ์เล็กน้อย แต่จะบอกว่าเป็นคนไม่ดี กลับไม่ใช่
และก็เป็นเพราะเช่นนี้ เธอถึงวางใจให้ถังลั่วเหยากับเฟิงยี่อยู่ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตระกูลเฟิงจะเป็นตระกูลผู้สูงศักดิ์ แต่ลูกสาวเธอก็ไม่ได้แย่นี่
ถ่ายละครมามากเช่นนี้ ความนิยมสูงเช่นนี้ รายได้ก็ไม่เลว และรักนวลสงวนตัวแล้วยังสวยด้วย
ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดีเลิศมากแล้วไม่ใช่หรือ
กลับไม่รู้ว่า ความดีในสายตาแม่ถังพวกนี้ ในสายตาของบางคน ที่จริงแล้วเป็นเพียงนักแสดงที่ไม่อาจพาออกมาโชว์ได้ก็เท่านั้นเอง
เมื่อตู๋กูยิงได้ยินคำพูดของแม่ถัง อารมณ์หงุดหงิดในทีแรก กลับมีความสุขขึ้นเล็กน้อยจริงๆ
แต่เมื่อเห็นใบหน้าของถังลั่วเหยา ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ แย่งลูกชายไปจากเธอ
นอกจากนี้ยังทำให้เธอต้องทำข้อตกลงที่ไร้สาระเพื่อพนันกับลูกชายของเธอแบบนั้น ก็อารมณ์ขึ้นทันที