ใช่ซิ ตู๋กูยิงคิดว่า ที่ระหว่างเธอกับเฟิงยี่กลายเป็นแบบนี้ ทำสงครามเย็นเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนตรงปากไว พูดคำพูดแบบนั้นออกมา จนถูกเฟิงยี่จับพิรุธได้
แต่เป็นเพราะถังลั่วเหยา
หากไม่มีเธอ หากไม่ใช่เธอหว่านเสน่ห์จนเฟิงยี่หลงใหลจะต้องแต่งงานกับเธอให้ได้ ก็จะไม่เกิดเรื่องพวกนั้น
ผู้หญิงในวงการบันเทิง ไม่มีใครดีสักคนจริงๆ
ตอนนี้ถังลั่วเหยาไม่รู้เลยว่าตู๋กูยิงกำลังคิดอะไร
หากรู้ จะต้องรู้สึกอยุติธรรมอย่างแน่นอน
เธอตั้งใจถ่ายละคร ตั้งใจทำงาน ไม่เคยทำพฤติกรรมที่ไม่ดีไม่เหมาะสมอะไรพวกนั้น และยิ่งไม่ใช่เพราะว่าอยากขึ้นไปนั่งบนตำแหน่ง จนต้องใช้วิธีการที่สกปรกพวกนั้น
ทำไมจะไม่ใช่คนดีล่ะ
แต่เสียดาย คำพูดเหล่านี้ เธอไม่มีโอกาสพูดกับตู๋กูยิง
เห็นแต่ตู๋กูยิงกระตุกยิ้มที่มุมปาก แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “คุณนายถังช่างพูดจริงๆ ไม่แปลกใจที่ได้สั่งสอนลูกสาวออกมาได้ฉลาดเช่นนี้ ไม่พูดถึงเรื่องทำให้ผู้ชายหลงใหลจนหัวหมุน ซ้ำยังไม่ยอมกลับบ้าน คนอย่างพวกเราอยู่ไกลเกินเอื้อมจริงๆ ”
คำพูดผีเข้าผีออก ทำให้แม่ถังคิ้วขมวดเข้าหากัน
หันไปสบตาถังลั่วเหยาอย่างสงสัย
ถังลั่วเหยาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
แต่เธอไม่ต้องการเถียงคำพูดที่ไร้ประโยชน์พวกนี้กับตู๋กูยิง ชนะแล้วจะเสียความรู้สึก แพ้แล้วยิ่งจะทรมาน
ดังนั้นจึงส่งสัญญาณให้แม่ถังว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก จากนั้นก็จบหัวข้อสนทนาทันที
“คุณป้าเฟิงคะ เรายังมีธุระต่อ ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกคุณแล้ว เราไปก่อนนะคะ ”
พูดจบ ก็ดึงแม่ถังเดินออกไปทางด้านนอก
เมื่อตู๋กูยิงเห็นท่าทีถังลั่วเหยาเช่นนี้ สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
มองดูแผ่นหลังพวกเธอที่เดินออกจากร้านกาแฟ กัดฟันอย่างขมขื่น แล้วกล่าวว่า “ปีศาจจิ้งจอกน้อย”
และเวลานี้ หลานสาวลูกพี่ลูกน้องเหวินเหวินที่ยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างเชื่อฟังตลอด โดยไม่พูดอะไร ก็ถามขึ้นว่า “คุณป้าคะ คนนั้นก็คือแฟนสาวของพี่ชายรองหรือคะ ”
ตู๋กูยิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเธอยังอยู่ แล้วรีบอธิบายว่า “ใช่ ก็คือปีศาจจิ้งจอกคนนั้น เหวินเหวิน ฉันจะบอกกับหนูนะ ต่อไปหนูอย่าไปเรียนแบบผู้หญิงคนนี้เด็ดขาดนะ ประพฤติตัวมั่วสุม ไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไร”
เหวินเหวินยังเรียนมัธยมปลายอยู่ อยู่ในช่วงที่ค่านิยมและทัศนคติของชีวิตกำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ แล้วถามอยากแปลกใจว่า “แต่หนูได้ยินมาว่า เธอประพฤติตัวดีมากเลยค่ะ แม้ว่าปกติจะมีข่าวอื้อฉาวออกมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกดาราชายฝ่ายตรงข้ามประทับใจ ตัวเธอเองนั้นน้อยครั้งที่จะเป็นคนก่อให้เกิดข่าวอื้อฉาวอะไรออกมา”เมื่อตู๋กูยิงได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ปั้นหน้าดุแล้วกล่าวสั่งสอนว่า “หนูยังเล็กจะไปรู้อะไร วงการนี้ซับซ้อนยิ่งกว่าที่หนูคิด” เหวินเหวินก็ยังไม่เข้าใจ
แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงเด็กนักเรียนคนหนึ่ง แต่ก็เข้าใจว่า ไม่มีหลักฐานไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นโดยไม่มีเหตุผล
ยิ่งกว่านั้น เธอยังเคยดูละครที่แสดงโดยหญิงสาวคนนี้ด้วย
ฝีมือการแสดงดีมาก ละครก็สนุกมากด้วย
แล้วทำไมคุณน้าถึงไม่ชอบเธอด้วย
เหวินเหวินท่าทางคิดไม่ตก
ส่วนอีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่ถังลั่วเหยาพาแม่ถังออกจากร้านกาแฟแล้ว ก็ขึ้นรถ เตรียมตัวจะไม่รอเฟิงยี่มารับพวกเธอแล้ว แต่จะไปรับเขาที่บริษัทโดยตรงเลย
ขณะอยู่บนรถ อารมณ์แม่ถังค่อนข้างสับสน
สิ่งที่แสดงออกบนใบหน้าล้วนเป็นสีหน้าของความกังวล
“เหยาเหยา คุณนายตระกูลเฟิงไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานของหนูกับเฟิงยี่ เรื่องนี้ทำไมหนูไม่บอกฉัน”
ถังลั่วเหยาถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยและทำอะไรไม่ถูก
เรื่องนี้ เธอรู้ว่าปิดแม่ไม่ได้ ช้าหรือเร็วแม่ถังก็จะรู้ แต่ก็ไม่คิดว่า จะเร็วเช่นนี้
และยังเป็นสถานที่และเวลาที่อึดอัดแบบนั้น
เธออธิบายอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เหตุผลที่ไม่บอกท่าน ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าท่านจะกังวลหรอกหรือ อีกอย่างเรื่องนี้ที่จริงก็ไม่มีผลกระทบอะไร เราก็ยังอยู่ด้วยกันและแต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือ มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
แต่ว่า แม่ถังกลับขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย
“ไร้สาระ เรื่องนี้ทำไมถึงไม่สำคัญ ต้องรู้นะว่าการคบกันกับการแต่งงานมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้แกไม่รู้สึกอะไร แต่ในอนาคตหากเกิดความขัดแย้งกันขึ้น คนในครอบครัวฝ่ายตรงข้ามคนใดคนหนึ่งไม่เห็นด้วย ก็จะเป็นฉนวนไฟในการเพิ่มความขัดแข้งของพวกเธอให้มากขึ้นไปได้”
ไม่ว่าอย่างไรแม่ถังเป็นคนที่ผ่านการแต่งงานมาสองครั้งแล้ว มีประสบการณ์มากมายในเรื่องการแต่งงาน
ถังลั่วเหยาเม้นริมฝีปาก ครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เรื่องของอนาคตค่อยว่ากันเถอะ”
แม่ถังมองดูเธอ ก็รู้ว่าตอนนี้พูดพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์
ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองก็ได้แต่งงานกันแล้ว
ส่วนท่าทีของตู๋กูยิง ดูไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่วันสองวันจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
จึงทำได้เพียงถอนหายใจ
“ได้ เรื่องของอนาคตค่อยว่ากัน แต่ว่าหากหนูได้รับความลำบากใจอะไร ห้ามปิดบังแม่เด็ดขาดนะ เราครอบครัวถังแม้จะไม่ใช่ครอบครัวคนฐานะร่ำรวย แต่ยังมีศักดิ์ศรีของตัวเอง หากเธอดูถูกเรา เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปปีนกิ่งไม้สูงนั้น”
ถังลั่วเหยารู้ว่าแม่หมายถึงอะไร
เพียงแต่ว่า เมื่อคิดถึงเฟิงยี่ ในใจก็ยังปล่อยวางไม่ลง
แต่ก็เพื่อให้แม่วางใจ เธอก็ยิ้มเรียบๆแล้วกล่าวว่า “หนูรู้แล้วค่ะ แม่”
แม่ถังพยักหน้า แล้วทั้งสองจึงยุติการสนทนาในหัวข้อนี้
ผ่านไปไม่นาน รถก็มาถึงใต้อาคารบริษัทของเฟิงยี่
พวกเธอไม่ได้ลงจากรถ แต่กลับนั่งรออยู่บนรถ
ถังลั่วเหยาส่งข้อความให้เขา บอกเขาว่าตัวเองกับแม่รออยู่ใต้อาคาร
แล้วย้ำกับเขาว่าไม่ต้องรีบร้อน พวกเธอสองคนไม่รีบ ให้เขาทำงานให้เสร็จก่อน ทำเสร็จแล้วค่อยลงมา
แล้วเมื่อรู้อยู่ว่าภรรยาของตัวเองกับแม่ยายอยู่ใต้อาคาร เฟิงยี่จะมีกะจิตกะใจทำงานได้อย่างไร
ต้องรู้ว่า การให้ภรรยารอสักครู่นะ ยังพอเข้าใจ
การที่ให้แม่ยายรอด้วยกันนั้น ช่างไม่รู้ประสีประสาจริงๆไม่ใช่หรือ
ดังนั้น เฟิงยี่จัดการงานในมืออย่างรวดเร็ว ในส่วนที่เหลือที่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็สั่งเสียพวกเขาไว้หมด รอพรุ่งนี้ตัวเองมาแล้วค่อยจัดการอีกครั้ง
แล้วก็เลิกงานไปอย่างรีบร้อน
เมื่อมาถึงใต้อาคาร เห็นรถของถังลั่วเหยาจอดอยู่ตรงนั้น
เขายิ้มและเดินเข้าไป เปิดประตูรถ ก็เห็นพวกเธอนั่งอยู่ข้างใน
อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าวว่า“รอนานแล้วใช่ไหม”
ทีแรกถังลั่วเหยาคิดว่า อย่างน้อยประมาณหนึ่งชั่วโมงเขาถึงจะลงมา
ไม่คิดว่าเพิ่งจะผ่านไปสิบกว่านาทีก็ลงมาแล้ว รู้สึกอดประหลาดใจไม่ได้
“คุณทำงานเสร็จแล้วหรือ”
เฟิงยี่พยักหน้า “ไม่ใช่งานด่วน ไว้เคลียร์พรุ่งนี้ก็ได้”
ถังลั่วเหยาพยักหน้า
แล้วกล่าวเพิ่มเติมว่า“เราก็เพิ่งจะถึง ที่จริงคุณไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้ ”
แม่ถังก็กล่าวอย่างเกรงใจว่า“ใช่ เรามาอย่างกะทันหันเช่นนี้ จะเป็นการไม่ดี ถ้าเป็นการรบกวนการทำงานของคุณ ”
เมื่อเฟิงยี่ได้ยินคำนี้ ก็รีบส่ายหัว
“ไม่ครับ ไม่มีแน่นอน เฮ้ย ผมไม่เหมือนกับพวกที่ทำงานแข่งกับเวลา เคลียร์ก่อนหนึ่งวันหรือเคลียร์ช้าหนึ่งวัน ไม่มีอะไรแตกต่างมากเป็นพิเศษ ขอเพียงไม่ใช่เรื่องด่วน จะทำเวลาไหนก็ได้”
ประโยคนี้พูดตามความเป็นจริง
ถังลั่วเหยาเข้าใจคุณสมบัติงานของเขาดี ก็พยักหน้าตาม