เมื่อแม่ถังเห็นเช่นนั้น ถึงโล่งใจ
ในตอนเย็น ทั้งสามคนก็ทานข้าวในร้านอาหารส่วนตัวระดับไฮเอนด์ที่อยู่ใกล้เคียง
ถังลั่วเหยากับแม่ถังต่างใจตรงกันไม่เอ่ยถึงเรื่องที่พบเจอตู๋กูยิงที่ร้านกาแฟเมื่อช่วงบ่ายนี้
ในมุมมองของพวกเธอ ปัญหานี้ ที่จริงแก้ไขยากมาก
หากพูดกับเฟิงยี่แล้ว นอกจากจะทำให้เขาที่อยู่ระหว่างกลางลำบากใจแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด
ดังนั้น ไม่พูดจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ไม่กลัวอยู่แล้ว
ทุกอย่างมีมโนธรรมก็พอแล้ว
ส่วนตู๋กูยิงนั้น หากท่าทีของเธอจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้นั้นก็จะดี
หากจะปฏิบัติต่อถังลั่วเหยาดังเช่นศัตรูแบบนี้ไปตลอด ก็ช่วยไม่ได้
จะให้ตัวเองทำดีแต่เขากลับเพิกเฉยอย่างนี้ตลอดก็คงไม่ได้
ยังไม่พูดถึงว่าการทำเช่นนี้ จะสามารถปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอได้จริงหรือไม่
ก็พูดถึงเรื่องการเอาใจคนข้อนี้ ถังลั่วเหยาก็อาจไม่สามารถทำได้
ดังนั้น พวกเธอไม่รู้สึกว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดออกมา
แต่ไม่คาดคิดว่า พวกเธอไม่พูด กลับมีคนพูดก่อนพวกเธอแล้ว
ขณะที่กำลังทานข้าว มือถือเฟิงยี่ก็ดังขึ้น
เขาหยิบขึ้นมาดู เห็นเพียงข้อความของตู๋กูยิง
เขาเซฟชื่อตู๋กูยิงระบุเป็น“ท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่”
เห็นเพียงข้อความจาก“ท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่ ”บนจอมือถือ ถึงแม้ตัวหนังสือจะเล็ก แต่น้ำเสียงกลับเห็นได้ชัดว่าไม่ญาติดี
“ตอนนี้แกอยู่กับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”
เฟิงยี่มองดูบรรทัดตัวหนังสือที่เล็ก แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่ตั้งใจ
เมื่อเงยหน้ามองถังลั่วเหยากับแม่ถัง เห็นเพียงพวกเธอทั้งสอง ยังทานข้าวไปด้วยพูดคุยหัวเราะไปด้วย
พูดถึงสิ่งที่น่าสนใจที่พบเจอมาก่อน โดยไม่ได้สนใจเขาเลย
เฟิงยี่รีบตอบข้อความกลับไปหาตู๋กูยิง
“ทำไมหรือ”
แล้วตู๋กูยิงก็ส่งมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“วันนี้ฉันเจอเธอกับแม่ของเธอที่ร้านกาแฟ ทำไมหรือ ตอนนี้ให้แกเลี้ยงเธอคนเดียวยังไม่พอใช่ไหม ยังต้องรับผิดชอบแม่ของเธอด้วยหรือ พวกเธอเห็นแกโง่หรือว่าเห็นแกเป็นเงินเป็นทอง รู้สึกว่าเงินของแกหลอกง่ายมากหรือ ”
สีหน้าเฟิงยี่หม่นหมองลงทันที
อาจจะเป็นเพราะว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนไป จึงทำให้ท่าทางบนตัวของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ถังลั่วเหยารู้สึกว่าคนข้างกายมีความไม่ปกติเล็กน้อย
เมื่อหันหน้ามา ก็เห็นว่าเขาสีหน้าหม่นหมอง กำลังจ้องดูมือถือ นิ้วมือกำลังพิมพ์ตัวหนังสืออย่างไม่ยั้ง
เธอเลิกคิ้ว ถามอย่างประหลาดใจว่า “คุณทำอะไรหรือ”
เฟิงยี่ไม่พูด รอตอบข้อความเสร็จแล้วถึงเงยหน้ามองมาที่เธอ
แล้วดวงตาหม่นหมองคู่นั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที
เก็บมือถือลงอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยิ้มเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร”
ถังลั่วเหยาขมวดคิ้ว
เธอรู้จักเฟิงยี่เป็นอย่างดี อารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในเมื่อกี้นั้น เธอดูไม่ผิดอย่างแน่นอน
มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แต่ว่าเวลานี้ ต่อหน้าแม่ เฟิงยี่ไม่พูด เธอก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ
การทำงานของเขา ดูเหมือนไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วล้วนมีวิธีการจัดการของตัวเอง
เธอเชื่อใจเขา
ดังนั้น ถังลั่วเหยาก็ไม่ได้ถามต่ออีก แต่กลับคีบกับข้าวให้เขา
“เวลาทานข้าวก็ต้องทานข้าว เล่นมือถือน้อยหน่อย มาชิมอาหารนี้ดู”
เฟิงยี่หยิบตะเกียบขึ้นมาทานอย่างเชื่อฟัง
แม่ถังมองดูเขา ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า“ปกติเฟิงยี่ยุ่งกับการทำงาน เหยาเหยา หนูเป็นภรรยา ต้องดูแลเขาให้มากหน่อย”
เมื่อถังลั่วเหยาได้ยิน ก็มีความสุขมาก
“แม่ หนูทำไม่ได้หรอก เขายุ่งหนูก็ยุ่งเหมือนกัน อีกอย่าง ยุคสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยพวกท่านมานานแล้ว ความสามารถผู้หญิงเท่าผู้ชาย หนูไม่ได้ให้เขาหาเลี้ยง ทำไมจะต้องดูแลเขาตลอดด้วย ”เมื่อเฟิงยี่ได้ยินคำนี้ ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว
พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ใช่ครับ ผมดูแลตัวผมเองได้ดี เหยาเหยาชอบถ่ายละคร ให้เธอทำในสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า”
แม่ถังมองดูพวกเขาแล้วรู้สึกทั้งดีใจทั้งสงสาร
เธอยิ้มแล้วส่ายหัว
“จะพูดแบบนี้ไม่ได้ ฉันรู้ว่าพวกเธอวัยหนุ่มสาวชอบแข่งขันการทำงาน แต่คนเราเมื่อชีวิตสุดท้ายแล้วถึงจะรู้ว่า ความฝันในอาชีพการงานล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่า มีเพียงคนที่อยู่เคียงข้างกายเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ”
ไม่รู้ว่าเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจเฮือก
“คิดถึงตอนนั้น ฉันกับพ่อขอหนูก็รักกันมาก ก็เพราะพ่อของหนูเสียไปตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้น…….”
ในโอกาสแบบนี้ ถังลั่วเหยาไม่ค่อยอยากจะหยิบยกเรื่องของพ่อที่เสียชีวิตแล้วมาพูด
จึงย้ำเตือนว่า“แม่…….”
แม่ถังก็ได้สติ ฝืนยิ้มแล้วกล่าว “โทษที ที่ฉันเสียมารยาท”
เมื่อเฟิงยี่เห็นเช่นนั้น เขาก็ทำสีหน้าปกติตาม
แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “แม่ครับ ท่านวางใจเถอะ ผมจะดูแลเหยาเหยาให้ดีอย่างแน่นอน จะไม่ให้เธอมีปัญหาใดๆ เราจะต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ท่านเองก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกาย ในอนาคตยังจะต้องช่วยเราเลี้ยงหลานนะครับ ”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา แม่ถังก็รู้สึกมีความสุขทันที
“หลานหรือ ก็ดีซิ”
ส่วนถังลั่วเหยากลับถูกคำพูดของเฟิงยี่ทำให้อับอายจนหน้าแดงจ้องมองไปที่เขา
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ”
ใครบอกว่าจะมีลูกกับเขา
ก็หลานกับหลานอยู่นั่นแหละ
เฟิงยี่ยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไร
เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรยากาศก็ถูกละลายอย่างง่ายดาย จากเดิมทีที่หนักหน่วง กลายเป็นผ่อนคลายลง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตู๋กูยิงกำลังมองดูข้อความสุดท้ายบนมือถือที่เฟิงยี่ส่งมา โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
เห็นเพียงข้อความที่เฟิงยี่ส่งมาบนหน้าจอมือถือว่า
เธอเป็นภรรยาของผม ชีวิตนี้เราจะรักกันช่วยเหลือดูแลกันและกัน อย่างที่ท่านกับท่านพ่อเป็น เป็นผู้หญิงเหมือนกัน หวังว่าท่านจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากตอนนั้นคุณย่าก็ปฏิบัติต่อท่านหาเรื่องท่านเช่นนี้เหมือนตอนนี้ที่ท่านเป็น ท่านจะรู้สึกเช่นไร
ในฐานะลูกชาย ส่งคำถามรุนแรงเช่นนี้มา ในสายตาของตู๋กูยิง จะต้องทำให้คนโกรธเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้เธอโกรธ ไม่เพียงแค่นี้
ที่สำคัญกว่าคือ ที่เขาพูดว่า หากตอนนั้นคุณย่าก็หาเรื่องท่านเช่นนี้……………..
เชอะ เธอเองอยากถูกหาเรื่องเหมือนกัน แต่พวกเขากล้าหรือ
คนที่ทำผิดในตอนนั้น ไม่ใช่เธอนี่
แต่เป็นพวกเขาตระกูลเฟิง
ยังจะพูดอะไรจะรักกันดูแลช่วยเหลือกันและกันหรือ
เธอแต่งงานเข้าครอบครัวนี้มาสิบกว่าปีแล้ว เคยเห็นการดูแลช่วยเหลือกันและกันอย่างแท้จริงเมื่อไหร่กัน
เธอได้รับการปกป้องดูแลอะไร
สามีของเธอ แม้ว่าจะนอนข้างกายเธอทุกคืน แต่ลึกๆในใจเขายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
เมื่อก่อนเธอก็เคยคิดว่า ขอเพียงตัวเองทำดี ขอเพียงความอดทนเพียงพอ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงได้
เขาก็จะมาอยู่ข้างกายเธอ ไม่เพียงแค่กาย ยังมีจิตใจด้วย
แต่ความเป็นจริงบอกเธอว่า เป็นไปไม่ได้เลย
ในใจของเขามีคนๆ นั้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาที่ขาดหายไม่ได้ แล้วเคยเป็นห่วงเธออย่างจริงจังไหม เคยรักและดูแลเธอไหม
คนนอกมองเห็นเพียงฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเฟิงของเธอที่มีความงามและความรุ่งโรจน์เท่านั้น
กลับไม่เห็นน้ำตาที่เธอกลืนลงไปตอนลับหลังอย่างเงียบๆ
คนทั้งหมดข้างกายเธอล้วนคิดว่า เธอมีความสุขมาก
สามีของเธอ ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นคนที่ดูแลบ้านมาก และดีกับเธอมากด้วย