บทที่ 64 เธอคือความภาคภูมิใจของเขา
ตอนนี้เธอกำลังทำคดีบางอย่างที่บริษัท รวมไปถึงทำการวิเคราะห์คดีที่ผ่านมาด้วย
และยังต้องแบ่งภาระงานให้ลูกน้องอีก เธอยุ่งไปจนถึงตอนเที่ยง หลังจากนั้นการประชุมก็ได้สิ้นสุดลง
เดิมทีมีคนในบริษัทบางส่วนที่ไม่ยอมรับเธอ แต่พอผ่านการประชุมไป พวกเขาก็ทั้งยอมรับและเชื่อมั่นในตัวเธอทั้งกายวาจาใจ
เพราะมีหลายคดีที่เคยทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพยับเยิน แต่จิ่งหนิงกลับสามารถเสนอวิธีแก้ไขปัญหาออกมาในการประชุมเล็กๆนี้ได้อย่างตรงประเด็น
อีกทั้งแบบแผนวิธีของเธอล้วนใช้งานได้จริง ไม่มีข้อผิดพลาดเลย
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ไม่นานนักจิ่งหนิงจึงตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในแผนกประชาสัมพันธ์
ตอนแรกลู่จิ่งเซินก็กังวลเล็กน้อยว่าจะมีคนกังขาเนื่องจากเธออายุน้อย ฉะนั้นเขาเลยส่งซูมู่ไปคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอด
แต่ผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็พบว่าพนักงานในฝ่ายประชาสัมพันธ์ ไม่เพียงแต่ไม่เบียดเบียนจิ่งหนิง แต่กลับยอมเชื่อฟังเธอ และคอยดูทิศทางลมให้
เมื่อได้รับการรายงานจากซูมู่ ลู่จิ่งเซินก็ฉีกยิ้มออกมา
เขาพบว่าเธอยอดเยี่ยมมากกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก
ความจริงเธอมีนิสัยเย็นชาไม่สนใจอะไร แต่ทว่าเมื่อไหร่ที่ได้ลงสนามทำงาน เธอกลับกลายเป็นคนที่เด็ดขาดและดุดัน มีอิทธิพลอำนาจต่อทุกคนซะงั้น
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความสามารถ หรือวิธีการจัดการแก้ไขปัญหา ใครก็เทียบเธอไม่ติด
ในใจของใครบางคนจึงรู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะยังไงก็ตาม คนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ก็เป็นผู้หญิงของเขา
เห็นเจ้านายมีความสุข ซูมู่ก็มีความสุขไปด้วย
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้น
เขาเหลือบมองสีหน้าของลู่จิ่งเซิน เห็นทีวันนี้เจ้านายจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย:“ท่านประธานครับ เมื่อก่อนท่านไม่เคยเห็นด้วยกับการมีความรักในที่ทำงานมาโดยตลอด และมักจะพูดว่ามันจะมีผลกระทบต่อการทำงานอยู่เสมอ แล้วทำไมครั้งนี้……”
ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
เขามองมาด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไร แต่ซักพักเขาก็หัวเราะออกมา
“พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก”
ซูมู่ :????
ท่านไม่พูดแล้วผมจะเข้าใจได้ยังไง?
ลู่จิ่งเซินโบกมือปัดไปมา “เอาล่ะ ฉันมีแผนสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้วกัน นายไม่ต้องถามแล้ว”
ซูมู่ดูสถานการณ์แล้วตัวเองไม่น่าจะได้คำตอบอะไรจากที่ถาม เขาจึงยอมแพ้ไป
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
ถึงฤดูหนาวแล้ว
แม้ว่าเมืองจิ้นจะอยู่ทางภาคตะวันออกของจีน แต่ทว่าฤดูหนาวกลับมาถึงเร็วเป็นพิเศษ ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และด้านนอกก็มีหิมะตกลงมาเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันหยุด จิ่งหนิงจึงไม่ต้องไปทำงาน หลังจากที่ไปเยี่ยมดูวัฒนธรรมซิงฮุยเมื่อตอนเช้าเสร็จ ตอนบ่ายเธอก็ขี้เกียจออกไปข้างนอกแล้ว เธอเลยมานังอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา
ส่วนลู่จิ่งเซินก็กลับไปที่เมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนแรกก็พูดกันดิบดีว่าจะพาเธอกลับไปด้วย แต่ก็ถูกจิ่งหนิงปฏิเสธไป
เพราะเธอไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วควรจะกลับไปกับเขาดีไหม
เธอมักจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในตอนนี้ถ้ากลับไปที่เมืองหลวงคงจะน่าอายเล็กน้อย
ลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้บังคับ เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ และรู้จักนิสัยของเธอดี ถ้ารีบร้อนมากไปแทนที่มันจะดีอาจจะตรงกันข้ามก็ได้ เพราะงั้นจึงทำได้แค่ให้เวลาเธอค่อยๆคิด
ยังไงเธอก็อยู่ข้างๆเขา หนีไปไหนไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลอะไร ถึงอย่างไรปัญหามันก็อยู่แค่ที่เรื่องเวลาเท่านั้น
แต่ไม่เป็นไรเขารู้ว่าตัวเองมีความอดทนมากพอ
เธอมองไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่โชว์ขึ้นมา นัยน์ตามีความดีใจและแปลกใจปนกันวาบผ่านไปแวบหนึ่ง
เธอรับโทรศัพท์ด้วยความรีบร้อน และก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจริงๆ
“นายมาถึงแล้วเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินตอบอืม “พึ่งลงจากเครื่องบินมาน่ะ แต่ว่าที่บริษัทมีเรื่องด่วนนิดหน่อยเลยต้องไปจัดการ เพราะงั้นผมคงไม่สามารถกลับบ้านได้ทันที หรือว่าคุณมารอผมที่บริษัท แล้วตอนเย็นพวกเราค่อยไปกินข้าวกันที่วิลล่าลู่สุยดีไหม? ”
จิ่งหนิงใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แบบนี้ก็ได้
แล้วเธอก็ตอบตกลง
หลังจากที่วางสาย เธอก็กลับไปใส่เสื้อคลุมเพิ่มอีกหนึ่งตัวที่ห้อง จากนั้นก็ลงมาทักทายป้าหลิวอีกครั้ง ถึงจะออกบ้านไป
เกล็ดหิมะเล็กๆยังคงลอยกระจายอยู่บนท้องฟ้า และอากาศก็ยังคงเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บเข้ากระดูก
จิ่งหนิงขับรถเข้าไปจอดที่ใต้ตึกลู่ซื่อ ไม่ได้ขึ้นไปบนตึก เธอเพียงแค่ส่งข้อความไปหาชายคนนั้น แล้วนั่งรอในรถ
ลู่จิ่งเซินตอบกลับมาว่าอีกแป้บเดียวเดี๋ยวเขาก็ลงมา
ขณะที่จิ่งหนิงกำลังรออยู่ จู่ๆสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นต้นคริสต์มาสที่อยู่ในร้านหรูข้างทาง เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าเร็วๆนี้จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว
ร้านอันหรูหรานี้ทั้งสะอาดและเป็นระเบียบมาก อีกทั้งยังมีชุดสูทสำหรับผู้ชายที่ทันสมัยและหรูหราแขวนโชว์อยู่ที่หน้าต่างด้วย
สายตาของเธอกวาดไปยังชั้นวางของข้างๆชุดสูทแล้วหยุดลง
จากนั้นเธอก็ดับไฟและลงจากรถไป
มันคือผ้าพันคอขนแกะสีเทาเข้ม สไตล์เรียบๆ ตรงปลายมีชื่อยี่ห้อของมันที่ใช้ด้ายสีเดียวกันปักอยู่ ดูดีมาก
แต่ไหนแต่ไรมาจิ่งหนิงไม่เคยเห็นลู่จิ่งเซินใส่ผ้าพันคอเลย แต่พอเห็นผ้าพันคอผืนนี้ เธอก็รู้สึกว่ามันเหมาะกับเขามากอย่างแปลกประหลาด
เธอได้วาดภาพตอนที่ผู้ชายคนนี้ใส่มันไว้ในหัวแล้ว ยิ่งคิดดูก็ยิ่งรู้สึกว่าหล่อ
พนักงานร้านเดินเข้ามาพอดี เธอจึงชี้ไปที่ผ้าพันคอผืนนั้นแล้วพูดขึ้น:“รบกวนเอานี่ให้ฉันผืนหนึ่งค่ะ”
พนักงานร้านมองที่ผ้าพันคอแวบหนึ่งแล้วจึงยิ้มขึ้น:“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยให้ของขวัญอะไรกับลู่จิ่งเซินเลย แต่ในทางตรงกันข้ามสองเดือนกว่าที่แต่งงานกันมานี้ เขากลับซื้อของให้เธอมากมาย
เธอมักจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อยู่เสมอ งั้นคริสต์มาสครั้งนี้ถือว่านี่เป็นเซอร์ไพรส์ให้เขาก็แล้วกัน!
เธอเดินตามพนักงานไปที่เคาน์เตอร์ และขณะที่กำลังจะจ่ายเงินนั้น จู่ๆก็มีเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“……จิ่งหนิง?”
เธอชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถึงหันหลังกลับไปดู
เธอเห็นแค่ว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินลงมาจากชั้นบน และคนที่เรียกเธอก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้น“เป็นแกจริงๆด้วย?ฉันนึกว่าฉันมองคนผิดซะอีก!”
ผู้หญิงคนนั้นเดินลงมาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่แปลกใจ จิ่งหนิงมองเธออย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ความเยือกเย็นฉายผ่านบนหน้าเธอเล็กน้อย เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เธอหยิบบัตรธนาคารในกระเป๋าตังยื่นให้พนักงานร้าน แล้วบอกให้หล่อนรูดบัตร
หลังจากที่พนักงานรูดบัตรเสร็จ เขาก็ยิ้มขึ้นเบาๆ:“ทั้งหมด34,800หยวน คุณผู้หญิง นี่คือผ้าพันคอของคุณค่ะ กรุณารับไปด้วย”
จิงหนิงพยักหน้าเป็นการขอบคุณ แล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับผ้าพันคอ
ผู้หญิงที่ลงมาจากชั้นบนเห็นเธอมองข้ามตัวเองไป เธอจึงหัวเราเยาะออกมาด้วยความเหยียดหยามทันที
“เสแสร้งไปเถอะ?ฉันได้ยินมาว่าแกกับมู่ยั่นเจ๋อเลิกกันแล้วหนิ?ตอนนี้ไปได้เศรษฐีที่ไหนมารึว่ายังไง?ถึงได้ยอมซื้อผ้าพันคอผืนหนึ่งตั้งสามหมื่นกว่า หรือว่าซื้อไปให้เสี่ยที่ไหนรึเปล่า? ”
สายตาของจิ่งหนิงเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมาทันที
เธอหันไปมองหญิงสาวคนนั้น แล้วพูดอย่างเย็นชา:“หนิวลี่ลี่ ฉันว่าแกควรพูดจาให้มันดีๆหน่อยนะ!”
หนิวลี่ลี่พูดขึ้นอย่างลำพองใจ:“เมื่อกี้ยังทำเป็นไม่รู้จักฉันอยู่เลยนี่นา?ตอนนี้รู้จักแล้วหรอ?”
หนิวลี่ลี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่คนละห้องสมัยที่เธอเรียนม.ปลาย แน่นอนว่าจิ่งหนิงต้องรู้จักหล่อนอยู่แล้ว
ในปีนั้นตอนที่เธอกับมู่ยั่นเจ๋อพึ่งรู้จักกัน หนิวลี่ลี่ก็ชอบมู่ยั่นเจ๋อ
เพียงแต่ว่ามู่ยั่นเจ๋อไม่มีความรู้สึกอะไรกับหล่อนเลย และต่อมาเขาก็ตามจีบจิ่งหนิงอย่างเปิดเผย หลังจากที่สองคนคบกันแล้ว หนิวลี่ลี่จึงเกลียดจิ่งหนิงเข้ากระดูกดำอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว
จนป่านนี้ไม่คิดเลยว่า หล่อนยังจะเอาเรื่องที่ผ่านมานานกว่าหกปีฝังไว้ในใจอยู่
จิ่งหนิงเหลือบมองเธออย่างเย็นชา จากนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความเยาะเย้ย
“ขอโทษทีนะ มันคงเป็นเพราะฉันไม่รู้สึกว่าการที่ได้รู้จักกับแกมันเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นฉันเลยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นน่ะ ตอบแบบนี้แกพอใจรึยัง? ”