ทั้งครอบครัวล้วนมีความสุขกันถ้วนหน้า
ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือมาจากต่างประเทศว่า พบฆาตกรคนที่ฆ่าตาK แล้ว
โดยเป็นคนของกลุ่มชาวจีน
เรื่องนี้ ในเมื่อหาตัวคนร้ายได้แล้ว การจะจัดการต่อก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แม้ว่าจะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กันอยู่มากระหว่างกลุ่มมังกรและกลุ่มชาวจีนแต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายก็ยังยึดหลักการที่ว่า จะไม่ให้มีความเคียดแค้นเกิดขึ้นต่อกันอีก ทั้งคู่ต่างถอยกันคนละก้าว เรื่องก็เลยยิ่งจัดการได้ง่ายขึ้น
อีกอย่างในขั้นตอนการจัดการเรื่องนี้ ก็มีหัวหน้าตระกูลจื่อจินอย่างจูเก่อหลิวเฟิงที่ให้การช่วยเหลือได้เยอะมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิ่งหนิงก็เริ่มคลี่คลายลง
ทั้งสองคนไม่ได้ทำสงครามเย็นใส่กันแล้ว อีกทั้งยังมีการไปมาหาสู่กันอีก อันที่จริงลู่จิ่งเซินก็เป็นคนที่ยินยอมให้เกิดสถานการณ์แบบนี้เอง
เพราะถึงยังไง คนรอบข้างจิ่งหนิงก็ถือว่าน้อยเกินไปจริง ๆ
บางที คนเราก็ต้องการคนที่สนิทใจจริง ๆ เพื่อมาปลอบใจ
ก็เหมือนกับการฉลองงานเทศกาลต่าง ๆ ที่ยิ่งญาติมิตรคนสนิทเยอะเท่าไร ก็ยิ่งจะสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้นเท่านั้น
โชคดี ที่หลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจูเก่อหลิวเฟิงได้ค่อย ๆ คลี่คลายลง ถึงขนาดที่ช่วงวันตรุษจีนจูเก่อหลิวเฟิงจะเข้ามาทักทายครอบครัวเธอ เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร
พอเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งสามารถยืนยันเรื่องการตบตาความสัมพันธ์ของเธอกับจูเก่อหลิวเฟิงได้ชัดเจนขึ้น
เห็นได้ชัดว่าจูเก่อหลิวเฟิงก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอด้วย ทำให้เขาเริ่มมีความสุขขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา
หนึ่งปีผ่านไป พร้อมกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ปีนี้หัวเหยาไม่ได้ใช้เวลาช่วงตรุษจีนในเมืองหลวง แล้วก็ไม่ได้ไปประเทศ F กับจี้หลินยวนด้วย
แต่เธอกลับกลับไปที่เมืองจิ้น เพื่อไปฉลองวันตรุษจีนกับตระกูลหัวแทน
ก่อนหน้านี้ ก็เพราะเรื่องของเธอกับจี้หลินยวน ทำให้เธอต้องทะเลาะกับพ่อหัวจนเกือบจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันไป
แต่พอเวลาค่อย ๆ ผ่านไป ความสัมพันธ์นั้นก็เริ่มแข็งตัว เพราะถึงยังไงก็เป็นพ่อลูกกัน เมื่อเด็กคนหนึ่งค่อย ๆ เติบโตขึ้น หลาย ๆ อย่างก็เริ่มจะคลี่คลายลง
จนถึงวันนี้ ลูกของหัวเหยาก็อายุได้สองขวบแล้ว
ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัดเรียกชื่อคนอยู่พอดี ทุกครั้งที่โทรศัพท์กัน ก็จะได้ยินเสียงร้องเรียก “คุณตา คุณตา” ตลอด
เรียกจนหัวใจของพ่อหัวจะละลายตามแล้ว
ในตอนแรก พ่อหัวดูเหมือนจะต้านทานเสียงเรียกนั้นได้ แต่จริง ๆ ในใจเขานั้นหวั่นไหวไปแล้ว
หลังจากนั้น เด็กน้อยก็โทรมาที่บ้านบ่อยขึ้น จนพ่อหัวค่อย ๆ ต้านไม่ไหว เริ่มมีการตอบสนองต่อคำพูดของเด็กน้อยผ่านทางโทรศัพท์
ตอบไปตอบมา ก็เริ่มติดเสียแล้ว
ถึงแม้ หัวยู่เองก็แต่งงานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีลูก พ่อหัวก็เฝ้าคอยอยากจะอุ้มหลานทุกคืนวัน แต่ก็ไม่ได้สักที
แล้วก็ไม่ง่ายเลยที่ตอนนี้จะมีหลานตัวน้อย ๆ สักคน มาร้องเรียกคุณตา คุณตาทุกวัน ปากก็หวานไม่เบา แบบนี้จะไม่ให้เขารักได้ยังไงกัน?
แต่ถึงอย่างนั้น พอถึงตอนที่เขารู้สึกขาดเจ้าตัวเล็กไปไม่ได้ เจ้าตัวเล็กกลับโทรหาเขาน้อยลง
ได้ยินจากหัวเหยาว่า ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กเป็นหวัด รู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็เลยไม่ค่อยได้โทรหาเขา
นี่ทำให้พ่อหัวร้อนรนจนทนไม่ไหว
อยากจะมาที่เมืองหลวงเพื่อดูเจ้าตัวเล็ก แต่ก็ยังกลัวเสียหน้า
เพราะถึงยังไง เขากับหัวเหยาก็ยังถือว่าทำสงครามเย็นกันอยู่!
แต่พอไม่ไปดู ในใจมันก็ร้อนรนแปลก ๆ สับสนวุ่นวายไปหมด
สุดท้ายก็ต้องเป็น หัวยู่ที่ช่วยดึงเขาลงมาจากจุดนั้น
ว่ากันว่าหัวเหยาไม่ได้กลับมาฉลองตรุษจีนที่นี่กว่าสองปีแล้ว ตรุษจีนปีนี้พวกเขาเองก็อยู่ที่เมืองหลวงพอดี ก็เลยได้กลับมาฉลองที่เมืองจิ้นด้วยกัน
พ่อหัวได้แต่พ่นลมหายใจเบา ๆ โดยที่ไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ได้ ท่าทางแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการยินยอมไปโดยปริยาย
หัวยู่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่หมดหนทางจริง ๆ กับผู้เฒ่าที่ไม่ยอมเสียหน้าคนนี้
หลังจากโทรหาหัวเหยาเสร็จโชคดีที่หัวเหยาเองก็เป็นคนมีเหตุผล เลยทำการตัดสินใจทันที ว่าปีนี้จะพาลูกกลับมาที่บ้านเพื่อฉลองปีใหม่
และเป็นธรรมดาที่จี้หลินยวนจะไม่วางใจให้แม่กับลูกสองคนเดินทางมา เพราะงั้นเขาก็เลยตามมาด้วย
สำหรับจุดนี้ หัวยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
เพราะถึงยังไงทั้งคู่ก็แต่งงานกันมานานแล้ว ความสัมพันธ์ก็เริ่มมั่นคงขึ้น ต่อไปก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน จะไม่เจอหน้ากันเลยตลอดไปก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น อะไรที่ควรจะชัดเจน ก็ต้องทำให้มันชัดเจน
ยังมีเรื่องเข้าใจผิดมากมายที่ยังไม่ได้แก้ไข ก็ใช้โอกาสที่ดีครั้งนี้ อธิบายกันให้ชัดเจนไปเลย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายใน และความลำบากใจในอนาคตของทุกคน
เพียงไม่กี่วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าหัวเหยาก็พาจี้หลินยวน กับเจ้าตัวเล็กกลับมา
หลังจากกลับมาถึงเมืองจิ้นแล้ว พ่อหัวก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจเลย
เขายังมีท่าทีไม่สนใจหัวเหยามาตลอด เห็นได้ชัดว่ายังโกรธอยู่
ส่วนจี้หลินยวนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าเขากลายเป็นอากาศธาตุไปเลย
จี้หลินยวนเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะถึงยังไงในความคิดเขา คนที่เขาแต่งงานด้วยก็คือหัวเหยา ไม่ใช่ผู้เฒ่าตระกูลหัวเสียหน่อย
พ่อหัวไม่สนใจเขา เขาก็ไม่สนใจพ่อหัวเหมือนกัน
คนเดียวที่พ่อหัวมีสีหน้าดี ๆ ให้ ก็คือเจ้าตัวเล็กเท่านั้น
ถึงแม้เจ้าตัวเล็กจะอายุแค่สองขวบ แต่เขากลับมีรูปร่างอ้วนกลมน่ารัก
น่ารักเหมือนกับเจ้าก้อนแป้งที่ขาวอมชมพูน้อย ๆ
พ่อหัวทั้งกอดทั้งหอมเขาหนักขึ้นทุกวัน เรียกง่าย ๆ ว่าชอบจนทำใจวางไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเขาอายุก็เกือบหกสิบปีแล้ว แต่ดูไม่ต่างจากเด็กเลย ยังคงเล่นเกมแบบเด็ก ๆ กับเจ้าตัวเล็กอย่างสนุกสนาน
หัวเหยาที่เห็นดังนั้น จริง ๆ ในใจก็รู้สึกตื้นตันไม่น้อย
แต่ความแน่วแน่ของคุณพ่อเธอ ทำให้เธอหมดหนทางที่จะก้าวเข้าไปทำลายความสัมพันธ์ที่มันหยุดชะงักดังเช่นปัจจุบันได้
โชคดีที่เจ้าตัวน้อยฉลาดมาก ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้รู้สึกถึงอะไรรึเปล่า ทุกครั้งที่ไปหาคุณตาก็จะลากแม่ไปด้วยเสมอ
พอเป็นแบบนี้ ต่อให้พ่อหัวไม่อยากสนใจหัวเหยายังไง แต่เพื่อเจ้าตัวน้อย เขาก็ต้องพูดออกมาสักสองสามประโยคอยู่ดี
เพราะยังไงก็เป็นพ่อลูกกัน ความสัมพันธ์ทางสายเลือดยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้
เพราะงั้นในช่วงที่อยู่ด้วยกันมา ความสัมพันธ์ของหัวเหยากับพ่อหัวก็คลี่คลายลงไปได้มาก
อีกอย่างพ่อหัวก็ดูออก ว่าผ่านมาสองปีแล้ว นิสัยใจคอของหัวเหยาคนปัจจุบันนั้น ต่างจากเมื่อสองปีก่อนที่ทั้งไร้เดียงสาทั้งหุนหันพลันแล่นอย่างสิ้นเชิง
เธอในตอนนี้ทั้งสุขุม รู้จักยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ไม่แน่อาจเป็นเพราะว่ามีลูกแล้ว เรื่องหลาย ๆ เรื่องก็ต้องมองหลาย ๆ มุมก่อนจะลงมือทำ
ซึ่งมันแตกต่างจากเมื่อก่อนจริง ๆ
จริง ๆ ในใจของพ่อหัวก็รู้สึกตื้นตันแล้ว แต่แค่ทำใจเสียหน้าไม่ได้ก็เท่านั้น
แต่คำพูดนี้ยังไงก็ต้องมีใครสักคนพูดออกมา แน่นอนว่าไม่ใช่พ่อหัวแน่ ๆ เพราะงั้นก็มีแค่หัวเหยาเท่านั้นที่จะพูดได้
ในเย็นวันนั้น หลังจากที่ครอบครัวตระกูลหัวทานข้าวเย็นกันเสร็จ พ่อหัวก็ออกไปเล่นที่สวนกับเจ้าตัวเล็ก
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเหยาพูดขึ้นว่า “พ่อคะ ฉันมีอะไรจะคุยกับพ่อหน่อย”
พ่อหัวตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมามองเธอ โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ก่อนที่เขาจะถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “คุยอะไร?”
หัวเหยาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย พร้อมกับเหลือบมองจี้หลินยวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เธอเห็นแค่ว่าจี้หลินยวนยืนเอนกายอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ๆ พร้อมกับทำท่ากอดอก สีหน้าที่เขาแสดงออกมานั้น ไม่สามารถแยกออกได้ว่าชอบหรือโกรธ
แต่สายตาที่เขาส่งมาให้ กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่สนับสนุนเธอ
หัวเหยาจึงตอบกลับเสียงเบาว่า “พวกเราไปคุยที่ห้องหนังสือชั้นบนกันดีกว่า”
พ่อหัวนิ่งไปสักพัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เขายื่นเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้หัวยู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็เดินนำขึ้นไปชั้นบน
หัวเหยาค่อย ๆ เดินตามไป พอเดินผ่าน หัวยู่ หัวยู่ก็ยกกำปั้นให้เธอหนึ่งที เป็นท่าทางส่งกำลังใจให้
เธอเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
พอไปถึงห้องหนังสือชั้นบน พ่อหัวก็นั่งลงบนโซฟา พร้อมกับเริ่มชงชาบนโต๊ะด้านหน้าไปด้วย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดมา”