“ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ก็ตามใจลูกเถอะ! ลูกโตแล้ว ได้เวลาสำหรับการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองแล้ว”
“พ่อก็แค่หวังว่า ไม่ว่าลูกจะเจอเรื่องอะไรในอนาคต ขอให้ลูกจำเอาไว้ ว่าลูกยังมีบ้านหลังนี้อยู่ พ่อกับพี่ชายของลูกจะคอยเป็นกำลังใจให้ลูกอยู่เสมอ เข้าใจไหม?”
น้ำตาของหัวเหยาค่อย ๆ ไหลลงมาเงียบ ๆ
เธอฝังใบหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของพ่อ ก่อนจะพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ฉันเข้าใจแล้ว”
พ่อหัวเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เขาตบไหล่เธอเบา ๆ ราวกับกำลังกล่อมเด็ก
พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ว่า “ร้องเถอะ ร้องออกมามันจะดีขึ้นเยอะเลย”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในห้องเป็นเวลานาน
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ถึงจะคุยกันเสร็จ
พอลงไปด้านล่าง ขอบตาของหัวเหยามีอาการแดงเล็กน้อย แต่ก็ดูออกว่า เธออารมณ์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
จี้หลินยวนกำลังรอเธออยู่ที่ชั้นล่าง พอเธอเห็นเธอเดินลงมา เขาก็เข้าไปทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ
“เป็นไงบ้าง?”
เขาเอื้อมมือไปกุมมือเธอ ก่อนจะดึงเธอไปทางห้องของเขา
หัวเหยายิ้มพร้อมกับพยักหน้า แล้วพูดว่า “คุยกันเรียบร้อยแล้ว”
จี้หลินยวนเลิกคิ้วขึ้น
หัวเหยาเม้มปากเล็กน้อย พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อยังคงรักเราเหมือนเดิม หลินยวน ต่อไปไม่ต้องฝืนเผชิญหน้ากับเขาอีกแล้ว เขา….”
ขณะเดียวกัน ทั้งสองก็เดินมาถึงห้องของตัวเอง
หลังจากที่จี้หลินยวนปิดประตู เขาก็ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนทันที
“เขาทำไมเหรอ? อืม?”
เขาพูด พร้อมกับก้มหน้าลงมาจูบเธอ
หัวเหยาถูกเขาทำให้ลมหายใจไม่มั่นคง เธอค่อย ๆ พูดขึ้นอย่างติดขัดว่า “เขาแก่แล้ว ที่ทำไปทุกอย่างก็เพื่อฉัน คุณอย่า…”
ชายหนุ่มจูบเธอพร้อมรอยยิ้ม
ทั้งยิ้ม ทั้งจูบ ก่อนจะพาร่างเธอตรงไปที่เตียง
“เหยาเหยาแต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยต่อต้านอะไรเขาเลย มีแต่เขาที่ไม่ยอมปล่อยผมไปแค่นั้นเอง ผมเคยบอกแล้ว แค่เขาไม่ขัดขวางการคบกันระหว่างเรา เรื่องอื่นผมก็ไม่สนใจ”
หัวเหยาถูกเขาพาไปถึงเตียงในพริบตาเดียว
เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักที่หน้าอกเขาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับอุทานว่า “จี้หลินยวน คุณกำลังจะทำอะไร…”
แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ คำพูดที่เหลือก็ถูกจุมพิตชายหนุ่มกลืนกินเข้าไปเสียก่อน
กลายเป็นค่ำคืนที่เกินกว่าจะยับยั้งชั่งใจไปอีกหนึ่งคืน
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากหัวเหยายังคงมีการประกาศที่คอยเธออยู่ข้างหลัง เพราะงั้นเธอจึงไม่สามารถอยู่ที่เมืองจิ้นนานเกินไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นการฉลองวันตรุษจีนก็จบลงแล้ว ในระหว่างวันตรุษจีนทั้งพ่อหัวและหัวยู่ต่างก็ยุ่งอยู่กับงานเลี้ยงส่วนตัวต่าง ๆ โดยไม่ค่อยมีเวลาให้กับเธอเท่าไร ดังนั้น หัวเหยาเลยพาเจ้าตัวเล็กกับจี้หลินยวนกลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ถังลั่วเหยาฉลองวันตรุษจีนเสร็จ ซูหงก็รับบทละครสมัยใหม่ให้เธอเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ก็เลยกำลังยุ่งอยู่กับการถ่ายทำที่ค่อนข้างตึงเครียด
ช่วงนี้ เธอก็ไม่ค่อยได้เจอกับ ตู๋กูยิงเพราะงั้นก็เลยไม่มีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นอีก
เวลาผ่านไปแต่ละวัน อาการป่วยของแม่ถังก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากถ่ายละครไปถึงกลางเรื่อง ถังลั่วเหยาก็มีเวลาว่างหนึ่งวัน เธอจึงขอลาเพื่อพา แม่ถังไปที่โรงพยาบาลซึ่งปี่เฉียวเพื่อตรวจอาการอย่างละเอียด
ถึงแม้จะมีแพทย์ประจำบ้านคอยช่วยตรวจอาการแม่ถังอยู่บ่อย ๆ แต่ถังลั่วเหยาก็ยังรู้สึกว่าการไปโรงพยาบาลซึ่งปี่เฉียวเพื่อพบผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ที่เคยทำการผ่าตัดแม่ถังมาก่อนน่าจะดูน่าเชื่อถือกว่า
เนื่องจากยังมีความสัมพันธ์ของเฟิงยี่อยู่ อีกฝ่ายจึงไม่น่าปฏิเสธ
นอกจากนี้แม่ถังยังเคยเป็นคนไข้ของเขาอีกด้วย
หลังจากตรวจอาการแล้ว ผลปรากฏว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ปัจจุบันอาการของแม่ถังนอกจากเคลื่อนไหวไม่ได้มากกับไม่สามารถออกแรงเป็นเวลานานได้ ที่เหลือก็ไม่มีปัญหา เหมือนกับคนปกติทั่วไป
หลังจากที่ถังลั่วเหยากับ แม่ถังรู้ผล ทั้งสองคนก็ดีใจมาก
หลังจากกลับมาถึงบ้าน เธอก็ให้แม่บ้านทำอาหารเย็นมื้อพิเศษขึ้น เพื่อเป็นการฉลองเสียหน่อย
ด้วยความดีใจ แม่ถังที่ไม่ค่อยได้เข้าครัวเอง ก็ลงมือทำเครื่องเคียงเพิ่มอีกสองอย่าง
อาหารเหล่านี้ ล้วนเป็นฝีมือที่ถังลั่วเหยาเคยกินมาตั้งแต่เด็ก นานแล้วที่ไม่ได้กลับมากิน แต่พอได้ลองอีกครั้งรสชาติก็ยังเหมือนเดิม เหมือนเมื่อตอนเด็ก ๆ ที่เธอเคยกิน หัวใจของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขใจและความอบอุ่นที่เกินจะบรรยาย
พอสองแม่ลูกมีความสุข ก็เป็นธรรมดาที่บรรยากาศแบบนี้จะทำให้เฟิงยี่มีความสุขตามไปด้วย
คืนนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลย
แม้แต่ปัญหาทางเทคนิคบางอย่างที่เกิดขึ้นที่สถาบันวิจัยในวันนี้ ความรำคาญใจทั้งหมดที่มีก็หายวับไปในพริบตา
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จ ทุกคนในครอบครัวก็นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาด้วยกัน ก่อนที่อยู่ ๆ แม่ถังจะเสนอเรื่องกลับไปเมืองจิ้น
ข้อเสนอนี้ทำให้ถังลั่วเหยาและเฟิงยี่ต่างก็ตกตะลึงไปพร้อม ๆ กัน
ถังลั่วเหยาเริ่มแสดงอาการไม่พอใจออกมาเป็นครั้งแรก
“แม่ เอาดี ๆ นะ แม่จะกลับไปทำอะไรที่เมืองจิ้น? แม่ไม่มีเพื่อนหรือญาติอยู่ที่นั่นเลยสักคน กลับไปแล้วแม่จะไม่เหงากว่าเดิมอีกเหรอ?”
แต่ แม่ถังส่ายหน้าไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“แม่คงจะคอยเกาะติดเธอไปตลอดชีวิตไม่ได้ เธอก็มีงานของตัวเองที่ต้องทำ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีชีวิตของตัวเองที่ต้องใช้ การที่แม่อยู่ที่นี่ไปตลอด มันจะเป็นภาระสำหรับเธอเกินไป”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา ท่าทีของถังลั่วเหยาและเฟิงยี่ก็ค่อย ๆ สงบลง
ถังลั่วเหยาจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม่คะ ภาระอะไรกัน? ฉันไม่ชอบใจประโยคนี้เลย แล้วแม่ก็คือแม่แท้ ๆ ของฉันนะ มันไม่มีปัญหาเรื่องเป็นภาระหรือไม่อยู่แล้ว อีกอย่างตอนนี้สุขภาพแม่ก็ดีขึ้น กำลังสั่งสมช่วงเวลาที่มีความสุขกับครอบครัวอยู่ แม่จะกลับไปทำอะไรที่เมืองจิ้นคนเดียว?”
เฟิงยี่รีบพูดเสริมทันที
“ใช่ ๆ แม่อย่าคิดมากเลย วางใจอยู่ในเมืองหลวงเถอะ ถ้าอยู่บ้านคนเดียวแล้วรู้สึกไม่สบายใจหรือเบื่อ วันหลังผมจะแนะนำคุณยายคนอื่น ๆ ให้เข้ามาเล่นด้วยกันก็ได้”
ประโยคนี้ของเฟิงยี่คือจริงจังมาก เพราะโดยปกติเขาก็ต้องทำงาน ถังลั่วเหยาก็ต้องถ่ายละคร
แม่ถังอยู่บ้านคนเดียวก็คงจะเบื่อ เพราะนอกจากแม่บ้านแล้วก็ไม่มีใครมาคุยกับเธอได้อีก
เธออยู่ที่นี่ยังไม่มีเพื่อนเลย นับประสาอะไรกับการออกไปข้างนอก
พอคิดได้ดังนี้ ความรู้สึกผิดก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นในใจเขาอย่างช่วยไม่ได้
คิด ๆ แล้วก็ต้องโทษตัวเขาเอง ที่เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ตัวเขากลับยังละเลยสิ่งนี้อยู่
ถ้าแม่ถังจากไปในครั้งนี้ ลั่วเหยาคงจะเสียใจมากแน่ ๆ
แม่ถังมองท่าทีร้อนรนของทั้งคู่ ก่อนจะยิ้มอย่างโล่งใจ
“พวกเธอนี่ เข้าใจผิดไปหมดแล้ว”
เธอถอนหายใจเบา ๆ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่สงบนิ่งและอ่อนโยน
“แม่แก่แล้ว พอมาอยู่เมืองหลวงทางเหนือ อากาศมันค่อนข้างหนาว ร่างกายของแม่ไม่ค่อยชิน อีกอย่าง แม่อยู่ทางใต้มานานกว่าสิบปี แม่คุ้นเคยกับอาศัยอยู่ที่นั่นมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนก็เพราะเป็นห่วงเหยาเหยาก็เลยตามมาถึงนี่”
“แต่ตอนนี้ แม่เห็นพวกเธอมีความสุข ความรักก็ราบรื่น แม่ก็วางใจแล้ว”
“แม่ไม่อยากให้ชีวิตที่เหลือของแม่ต้องมาผูกติดอยู่กับลูก ๆ แบบนี้ หลังจากที่ป่วยหนักคราวนั้น แม่ก็คิดอะไรได้เยอะขึ้น”
“ถึงแม่ยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเหลืออีกกี่วัน แต่แม่ก็คิดเสมอว่า ต่อให้เหลือเวลาแค่วันเดียว แม่ก็จะทำวันนั้นให้เป็นวันพิเศษของแม่อีกวัน”
“เป้าหมายในชีวิตคนเราแตกต่างกัน ขอแค่สามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเกิดมาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครั้งนี้ที่พวกเธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยื้อชีวิตของแม่ กลับมาจากประตูสู่ความตายด้วย”
หลังจากที่แม่ถังพูดจบ ทั้งห้องก็เงียบสงัดทันที