“คุณยังจะพูดอีกนะ!”
เฟิงยี่รู้ดีว่าหญิงสาวเป็นคนขี้อาย ถ้ายังแกล้งแหย่เธออีก ไม่แน่ว่าอาจจะโกรธขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้
เขาจึงรีบเก็บท่าทางเจ็บปวดไปทันที ก่อนจะจับไหล่หญิงสาวเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ผมก็แค่ล้อเล่นเอง เรื่องลูกยังไงก็ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ตราบใดที่แม่ไม่รีบ ผมก็ไม่รีบ”
เขาพูดขึ้นราวกับกำลังส่งบอลไปให้แม่ถัง
พอแม่ถังเห็นเป็นแบบนี้ ก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเรื่องของหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ แม่ไม่อยากเข้าไปแทรก แต่ เธอตอนนี้ก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ถ้าเป็นไปได้ก็มีให้ไว ๆ หน่อยก็ดี แต่แน่นอนว่าสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับเธอ แม่ก็แค่ให้คำแนะนำลูกอย่างคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็เท่านั้น”
ถังลั่วเหยาหน้าแดงไปหมด จะตอบรับก็ไม่ดี จะไม่ตอบรับก็ไม่ได้
ในที่สุด เธอก็ตอบขึ้นมาสองสามคำแบบขอไปที
หลังจากที่คุยกันเสร็จในคืนนั้น วันต่อมา แม่ถังก็จองตั๋วเครื่องบินกลับทางใต้ทันที
ถังลั่วเหยาไม่มีเวลาว่างไปส่งถึงที่ได้ เธอทำได้แค่ไปส่งถึงสนามบินเท่านั้น
ระหว่างที่บอกลากันที่สนามบิน ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกทำใจไม่ได้
เพราะกลัวว่าระหว่างที่ไปส่งที่สนามบินจะมีคนเจอเธอเข้า ถังลั่วเหยาเลยจองแบบ VIP ให้แม่
ทั้งสองนั่งจับมือกันอยู่ตรงนั้น บอกลากันด้วยท่าทีที่ทำใจไม่ได้เป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงเวลาที่เครื่องออก ถึงเป็นการบอกลากันอย่างจริงจังเสียที
หลังจากที่ส่งแม่เสร็จ ถังลั่วเหยาก็กลับมาที่บ้าน พร้อมกับมีท่าทางที่ไม่มีความสุขทั้งวัน
เฟิงยี่ที่กลับมากับเธอ เห็นเธอดูไม่มีความสุข เขาจึงเย้าแหย่เธอทุกวิถีทางเพื่อให้เธอมีรอยยิ้ม
ถังลั่วเหยาที่เดิมทีในใจมีแต่หมอกหนา กลับค่อย ๆ มีความสุขขึ้นทีละน้อย
วันต่อมา เธอกลับไปที่กองถ่ายเพื่อถ่ายละครต่อ
สำหรับการใช้ชีวิตในกองถ่าย ถังลั่วเหยาเคยชินมาตั้งนานแล้ว
ถึงแม้ว่าเธอกับเฟิงยี่จะแต่งงานกันแล้ว แต่ก็เป็นการแต่งงานแบบส่วนตัว ภายนอกไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะงั้น เลยไม่มีใครมาคอยหนุนหลังเธอเพราะคิดว่าเธอคือคุณนายเฟิง
ชีวิตทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเคย
แต่ถ้าจะให้พูดก็มีเรื่องเดียวที่ต่างออกไป คือการไป ๆ มา ๆ ของ เสี่ยวฉิงช่วงนี้เริ่มมีอาการแปลก ๆ
เมื่อก่อนเสี่ยวฉิง ถือเป็นผู้ช่วยที่คอยอยู่ข้างกายเธอตลอด
แต่เธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ เสี่ยวฉิงมักจะขอลาอยู่บ่อย ๆ ต่อให้จะอยู่ข้าง ๆ เธอ แต่สติของหล่อนก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่ว่าจะตามหาหรือจะเรียกหล่อน หล่อนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ยิน
การเปลี่ยนแปลงนี้ ดึงดูดความสนใจของถังลั่วเหยาได้มาก
ที่จริงก็เพราะเป็นห่วง กลัวว่าหล่อนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอเลยค่อนข้างสนใจ
เพราะงั้น หลังช่วงบ่ายวันหนึ่ง ถังลั่วเหยาซึ่งค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ทั้งในแง่ของเวลาและการเว้นระยะ แต่เธอก็ตามหา เสี่ยวฉิงจนเจอแล้วถามว่า “ช่วงนี้เธอมีอะไรปิดบังฉันใช่ไหม?”
ตอนแรก เสี่ยวฉิงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใด ๆ เธอชะงักไป “หือ?”
ถังลั่วเหยามองท่าทางเหมือนร่างไร้วิญญาณของเธอ เหมือนจะรู้ว่าตัวเองเดาถูก
หล่อนส่ายหน้าไปมา
“เสี่ยวฉิงถ้าเธอต้องการอะไรเธอบอกฉันได้เลยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะช่วยเธอเอง”
ในที่สุด ก็มีการตอบสนองของเสี่ยวฉิงหล่อนมองมาที่เธอ ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มแดงขึ้น
หล่อนโบกมือไปมาหลายครั้ง ก่อนจะพูดอย่างติดขัดว่า “พี่ลั่วเหยาฉัน ฉันไม่ได้เป็นอะไร…”
ถังลั่วเหยาจ้องไปที่หล่อน พร้อมกับถามขึ้นอย่างจริงจังว่า “จริงเหรอ? แต่สภาพของเธอช่วงนี้ดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
พอ เสี่ยวฉิงได้ยินแบบนั้น หน้าก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก
หล่อนก้มหน้าลงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานหล่อนก็พูดขึ้นว่า “พี่ลั่วเหยาฉันจะปรับตัวให้เร็วที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ต่อไปฉันจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”
ถังลั่วเหยาชะงักไป จากท่าทีที่หล่อนตอบกลับมา เห็นได้ชัดว่าหล่อนเข้าใจความหมายของเธอผิด
เธอไม่ใช่แค่เป็นห่วงหล่อน แต่ยังอยากถามหล่อนด้วยว่าทำไมช่วงนี้จิตใจถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
แต่พอเสี่ยวฉิงได้ยินแบบนั้น หล่อนอาจจะคิดว่าเธอไม่พอใจกับท่าทางการทำงานของหล่อนในช่วงนี้รึเปล่า ก็เลยต่อว่าตัวเองไป
พอคิดได้แบบนี้ ตอนแรกเธอกะจะอธิบายสักสองสามคำ เพื่อปลอบใจหล่อน
แต่ทันใดนั้นเอง ผู้กำกับก็เรียกชื่อเธอขึ้นมา “ลั่วเหยารีบมานี่หน่อย ถึงซีนของเธอแล้ว”
ถังลั่วเหยาชะงักไป ก่อนจะรีบตอบกลับไปว่า “ค่ะ กำลังไป”
เธอหันกลับมามอง เสี่ยวฉิงรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะพูดเมื่อครู่ยังไม่ชัดเจน เธอเลยพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากถามเธอเฉย ๆ ถ้าเธอมีปัญหาอะไรบอกฉันตรง ๆ ไม่ต้องคิดมาก”
เสี่ยวฉิงพยักหน้าหลายครั้ง ถังลั่วเหยามองดูท่าทีหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป
ถ่ายไปซีนเดียว ก็เข้าสู่ช่วงท้ายอย่างรวดเร็ว
เมื่อการถ่ายทำจบลง อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
จากตอนแรกที่เธอสวมเสื้อผ้าฝ้าย แต่วันนี้หลังจบงานเธอก็เปลี่ยนเป็นเสื้อแขนสั้นทันที
ทุกคนถ่ายรูปหมู่กันในตอนสุดท้าย จากนั้นก็ไปงานเลี้ยงตอนเย็นตามปกติ เพื่อเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับการทำโฆษณาต่อไป จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้าย
เมื่อถังลั่วเหยากลับมาถึงบ้าน เฟิงยี่ก็ยังไม่กลับ
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนมีถ่ายทำฉากกลางคืน เธอจึงเข้าพักที่โรงแรม เพื่อที่จะถ่ายได้ง่ายขึ้น
เพราะงั้นถ้านับจริง ๆ ก็ถือว่าเธอไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว
ช่วงนี้ เฟิงยี่ก็ต้องเข้าเวรเป็นครั้งคราว
แต่ถึงยังไง ทั้งสองคนก็แต่งงานกันแบบส่วนตัว ถ้าขยันมาเจอกันบ่อย ๆ คนก็จะสังเกตได้ เพราะงั้น ทุกครั้งที่เฟิงยี่มาเจอเธอก็จะเป็นตอนเช้าตรู่หรือช่วงดึกมากเท่านั้น เพราะแบบนี้ถ้าไม่ใช่ว่าทุกคนกำลังถ่ายทำกันอยู่ ก็คือยังไม่ตื่น ที่โรงแรมก็ไม่มีคนรู้จัก ก็เลยไม่ต้องกลัวว่าจะเจอใครรึเปล่า
ผ่านไปสองสามครั้ง เขาก็รู้สึกขยาดเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธไม่ไปหาอีก
ถังลั่วเหยาเองก็รู้ผิดเล็กน้อย ที่ปล่อยให้ชายหนุ่มใช้ชีวิตแบบลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะงั้น เธอถึงไม่เคยบังคับเขาถ้าเขาจะไม่ไปหา
พอลองกลับมานับดู เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้เจอกันเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ไม่ต้องถาม เธอรู้สึกคิดถึงเขานิดหน่อยจริง ๆ
พอคิดได้แบบนี้ ถังลั่วเหยาก็เหลือบมองดูนาฬิกา ก่อนจะพบว่ามันยังเร็วอยู่ พึ่งสี่โมงเย็นเอง
ดังนั้น เธอจึงพับแขนเสื้อขึ้น หลังจากนั้นก็เข้าไปในครัว
มีแม่ครัวในครัวของวิลล่าหลานซีคนหนึ่ง แซ่ หวงหล่อนเป็นแม่ครัวหญิงที่ถือว่าฝีมือดีมาก
งานปกติทั้งหมดในครัว จะเป็นหล่อนกับลูกมืออีกสามคนช่วยกันทำ
ขณะนี้ พวกเขากำลังเตรียมอาหารเย็น
เพราะรู้ว่าวันนี้ถังลั่วเหยาจะกลับมา พวกเขาเลยเตรียมส่วนผสมที่หลากหลายและสดใหม่ไว้ให้ล่วงหน้า
ทันใดนั้น พอเห็นว่าเธออยู่ ๆ ก็เดินเข้ามาอย่างกะทันหัน ทุกคนเลยทั้งประหลาดใจและกังวล
“คุณนาย คุณเข้ามาที่ทำไมคะ? ห้องครัวนี่มีแต่เขม่าน้ำมัน ระวังจะสำลักเอานะคะ”
ถังลั่วเหยายิ้มขึ้น พอเห็นความตื่นตระหนกของพวกเขา
“ไหนล่ะเขม่าน้ำมัน โดนดูดไปหมดแล้วเหรอ? คืนนี้กินอะไรล่ะ?”
พอได้ยินเธอถามขึ้น พี่หวงก็รีบแนะนำเมนูคืนนี้ทีละรายการทันที
ถังลั่วเหยาสแกนเมนูทั้งหมด พลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะชี้ไปที่เมนูหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เมนูนี้เปลี่ยนหน่อยเถอะ เนื้อต้มเผ็ดไม่เอาแล้ว เปลี่ยนเป็นปลาน้ำแดงเดี๋ยวฉันทำเอง”
“หา?”
ทุกคนต่างตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเชฟมืออาชีพตัวจริง ที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์
ปกติก็จะทำงานในบ้านที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ในเมืองหลวง