เเละพบว่าด้านหน้ามีป่าดอกพีชอยู่ อาจเป็นเพราะนี่คือเดือนมิถุนายนแล้ว และดอกพีชก็ร่วงโรยไปแล้วตั้งนาน แต่ก็ยังมีมีผลสีเขียวอยู่บ้าง ซึ่งสวยมากทีเดียว
ถังลั่วเหยามองดูด้วยความชื่นชอบ เธอรีบดึงมือเฟิงยี่แล้ววิ่งไป
“ว้าว! คุณดูลูกพีชนี่สิคะ เยอะจังเลย”
เฟิงยี่ยิ้มและพูดว่า “มันยังไม่สุกเลย อย่าไปเด็ดล่ะครับ”
จากนั้นถังลั่วเหยาก็ยื่นมือที่กำลังจะเอื้อมไปเด็ดกลับคืนมา เธอมองไปป่าดอกพีชที่อยู่ข้างหน้าแล้วพูดว่า “คุณเดาดูสิคะ ว่าฝั่งตรงข้ามคืออะไร?”
ด้านหน้านี้เห็นเพียงว่าป่าพีชครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ต้นไม้ขึ้นหนาแน่น มองด้วยตาเปล่าไม่อาจเห็นได้ว่าอีกฝั่งหนึ่งมีอะไร
เขาส่ายหัวและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมไม่รู้”
ถังลั่วเหยาจับมือของเขาและเดินตรงเข้าไป
“เราไปดูกันดีกว่าค่ะ”
เฟิงยี่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดังนั้นทั้งสองจึงเดินเข้าไปพร้อมกัน
ป่านั้นกว้างใหญ่มาก นึกไม่ออกเลยว่าที่เมืองหลวงจะมีที่ดินผืนใหญ่โตขนาดนี้ใช้สำหรับปลูกต้นพีช
ทั้งสองคนเดินเข้าไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดังมาเบาๆ
เสียงแบบนั้นไม่เหมือนเสียงเครื่องดนตรีสมัยปัจจุบัน แต่ดูเหมือนเครื่องดนตรีโบราณมากกว่า
ก่อนหน้านี้ถังลั่วเหยาเคยเล่นละครแนวโบราณมาบ้าง และได้ทำความรู้จักกับเครื่องดนตรีเช่นกู่เจิงและผีผา เเละเพื่อให้ถ่ายทำได้อย่างราบรื่น เธอยังได้เรียนรู้วิธีการเล่นอย่างง่ายๆอยู่สองสามวัน
ดังนั้น ตอนนี้เมือ่ได้ยินเธอจึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงกู่เจิง
ดวงตาเธออดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย เธอจับมือของเฟิงยี่และพูดว่า “ฉันได้ยินเสียงกู่เจิงค่ะ ดูเหมือนว่ามีคนกำลังเล่นกู่เจิงอยู่นะคะ”
แน่นอนว่าเฟิงยี่ก็ได้ยินเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเธอดูสนใจมาก เขาจึงพูดขึ้นว่า “เราเข้าไปดูกันไหมครับ?”
ถังลั่วเหยารีบพยักหน้า ดังนั้นทั้งสองจึงเดินไปที่แหล่งกำเนิดเสียงด้วยกัน
พวกเขาเดินไปได้ไม่นาน ก็มองเห็นโต๊ะหินกลมใต้ต้นพีชอยู่ด้านหน้า
มีเก้าอี้ตัวเตี้ย ตั้งเป็นวงกลมอยู่รอบๆโต๊ะหิน หญิงสาวสวมชุดสีฟ้าอ่อนหันหลังเข้าหาพวกเขา เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน มองดูท่าทางแล้วคงเป็นเธอที่กำลังเล่นกู่เจิงอยู่
ทิวทัศน์เช่นนั้น เสียงกู่เจิงเช่นนี้ อีกทั้งสาวงาม……
ถังลั่วเหยารู้สึกราวกับว่าเธอกำลังอยู่ในความฝัน ราวกับว่าป่าทึบนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ ทำให้ทั้งสองเดินทางผ่านกาลเวลามาสู่สมัยโบราณ
ความอยากรู้อยากเห็นในใจของเธอก็ทวีเพิ่มมากขึ้น
ทั้งสองเดินเข้ามาช้าๆ แต่เสียงกู่เจิงยังไม่หยุดลง เนื่องจากพวกเขากลัวที่จะรบกวนหญิงสาวคนนั้น จึงได้หยุดฝีเท้าลงเมื่ออยู่ห่างออกไปประมาณสิบก้าว
ทั้งสองยืนนิ่งฟังอยู่เงียบๆ
อากาศในป่าดูเหมือนจะไม่ร้อนเท่าข้างนอก
แม้ว่าเวลาจะเกินกว่า 11 โมงแล้ว แต่แดดที่แผดเผาก็ถูกใบไม้กำบังไว้
สายลมพัดเข้ามาอย่างอ่อนๆทำให้ร่างกายรู้สึกเย็นสบายราวกับสวมผ้าคลุมเย็นฉ่ำ
ถังลั่วเหยาตกหลุมรักในความรู้สึกขณะนี้ เธอเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย และยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับให้จังหวะทำนองเพลงเบาๆ
ผ่านไปประมาณสองสามนาที ในที่สุดเสียงกู่เจิงก็หยุดลง
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะลุกขึ้นและหันศีรษะไปทางพวกเขา
ต้องยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่งดงามมาก
ถังลั่วเหยาอยู่ในแวดวงบันเทิง นอกจากตัวเธอที่เป็นคนสวยอยู่แล้ว เธอยังเคยได้เห็นสาวงามอีกมากมาย
เธอคิดว่าจากสิ่งที่เธอได้เห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าหญิงสาวคนไหนงดงามเพียงใด เธอก็เคยพบเห็นมาหมดสิ้นแล้ว ไม่ว่าเธอจะได้พบกับใครก็ตาม สวยงามแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เธอหวั่นไหวได้แน่นอน
แต่ตอนนี้ ความจริงบอกกับเธอว่าในโลกนี้ไม่มีใครสวยงามที่สุด มีแต่สวยงามเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
และความพินาศที่ความงามนำมาสู่ผู้คนนั้นสูงเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการมาก
หญิงสาวคนตรงหน้านี้ ผมเธอยาวสลวยราวกับน้ำตกพาดบ่า คิ้วหนา ตาคมสีดำ ทรงหน้าเรียวงามดูมีเสน่ห์ ริมฝีปากสีเชอร์รี่เรียวบาง เธอเหมือนสาวงามในวรรณคดีไม่ผิดเพี้ยน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกและอารมณ์ที่อ่อนช้อย ราวกับคนที่เดินออกจากภาพวาด ช่างมีความงามอันน่าตื่นเต้น
ชั่ววินาทีหนึ่งถังลั่วเหยาตกตะลึงไปทันที
หญิงสาวกระแอมออกมาเล็กน้อย จึงทำให้เธอกลับมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง
ริมฝีปากของเธอขยับขึ้นเบาๆและยิ้มว่า “พวกคุณเป็นใครกัน มาที่นี่ได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ ก็พบว่าเสียงนั้นช่างอ่อนหวานเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆถังลั่วเหยาหน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นผู้หญิงด้วย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้านี้ เธอก็รู้สึกเขินอายทำตัวไม่ถูก
เธอตอบอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวค่ะ บังเอิญเห็นว่าป่าพีชแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่และสวยงามมาก ก็เลยลองเข้ามาดู”
เฟิงยี่ยังคงจับมือของเธอและไม่พูดอะไร
มือของหญิงสาวที่ปิดปากของเธอเอาไว้ชะงักลงเล็กน้อย ดวงตาที่สวยงามของเธอพิจารณามองไปยังทั้งสองคน
ทันทีหลังจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว พวกคุณน่าจะมาผิดทางแล้วล่ะ”
ถังลั่วเหยารู้สึกอธิบายไม่ถูกและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ค่ะ ดิฉันขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะคุณเล่นกู่เจิงนะคะ พวกเราจะออกไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดจบ เธอก็กำลังจะจูงมือเฟิงยี่ออกไป
แต่ว่า ชายคนข้างๆกลับไม่ขยับเขยื้อน
เธอตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่พบว่าดวงตาของชายคนนั้นกำลังจ้องมองไปที่หญิงสาวตรงข้ามไม่ขยับเขยื้อนและไม่กะพริบตา
คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
หัวใจของถังลั่วเหยารู้สึกหึงหวงขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก เธอดึงแขนเสื้อเขาแล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
จากนั้นเฟิงยี่ก็กลับมารู้สึกตัว เขาหันไปมองเธอแล้วพยักหน้า
ทั้งสองเดินจับมือกันออกจากป่า
เมื่อออกมาถึงข้างนอกถังลั่วเหยาก็ปล่อยมือของเขาออก
เฟิงยี่ยังคงตกอยู่ในความคิดของเขา ทันใดที่เธอปล่อยมือ เขาจึงสะดุ้งเล็กน้อย เขาไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้านี้เท่าไหร่
เห็นเพียงว่าหญิงสาวปล่อยมือเขาไปแล้ว เธอก็เลิกสนใจเขาและเดินต่อไปข้างหน้าด้วยตัวเธอเอง
เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย และรีบเดินตามไปเพื่อตามเธอให้ทัน และเอื้อมมือไปคว้ามือเธอเอาไว้
แต่ว่า ทันทีที่มือของเขาแตะนิ้วของเธอ ก็ถูกหญิงสาวสะบัดออก
ถังลั่วเหยาหันหน้าของเธอกลับมาแล้วเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพูดอย่างดุเดือดว่า “อย่าแตะต้องฉัน”
เฟิงยี่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับความโมโหของเธอ และถามขึ้นตามสัญชาตญาณว่า “เป็นอะไรเหรอครับ?”
หัวใจของถังลั่วเหยาหยุดนิ่งลง ความเจ็บในใจเพิ่มมากขึ้น น้ำเสียงของเธอเย็นยะเยือก ตอนนี้เธอไม่ต้องการคุยอะไรกับเขาอีก ดังนั้นเธอจึงก้าวเดินไปข้างหน้าตามลำพัง
เฟิงยี่รู้สึกงงกับเธอมาก เขาไม่รู้ว่าไปทำอะไรไม่ดีจนทำให้เธอขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงได้แต่เดินตามเธอไปตลอดทาง
หลังจากเดินมาสักพักถังลั่วเหยาก็ไม่ได้ยินเขาพูดอะไรอีก จึงได้หยุดฝีเท้าลงและหันหลังกลับมา
เฟิงยี่ไม่ได้คิดว่าเธอจะหยุดลงกะทันหัน เขาจึงรีบหยุดฝีเท้าของตัวเองลงจนแทบทำให้ชนกับเธอ
เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับไหล่ของเธอและพูดอย่างขำขันว่า “คุณเป็นอะไรไปครับ? ใครเอาระเบิดให้คุณทานหรือไง? จู่ๆถึงได้อารมณ์เสียขึ้นมาแบบนี้?”
ตอนแรกถังลั่วเหยาไม่ได้โกรธมาก แต่เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอก็โกรธขึ้นมาทันใด