เธอเบิกตากว้าง มองเฟิงยี่อย่างเหลือเชื่อ กัดฟันและพูดว่า “คุณไม่รู้เหรอคะว่าฉันโกรธเรื่องอะไร คุณทำเรื่องอะไรมาล่ะ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอไง?”
เฟิงยี่ “???”
เขาทำอะไรมา?
ทำไมต้องรู้สึกละอายใจด้วย?
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์บอกเขาว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะโกรธเรื่องอะไรอยู่ แต่ในเวลานี้ห้ามถามเด็ดขาด เพราะไม่ว่าเขาทำอะไรก็ผิดในตอนนี้
อย่าไปกังวลกับเรื่องอะไร ให้ขอโทษเขาไว้ก่อน
ดังนั้นเฟิงยี่จึงพยายามเอาตัวรอด และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ที่รักครับผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”
ถังลั่วเหยาหยุดนิ่งลงทันที
เดิมทีไฟที่กำลังพลุ่งพล่าน ก็ได้ดับลงเพราะประโยคที่ว่าผมผิดไปแล้วของเขา ทำให้ความโกรธของเธอเบาลงราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก
“อย่าคิดว่าคุณพูดว่าผิด ฉันก็จะยกโทษให้คุณนะคะ เชอะ!”
เมื่อได้ยินดังนี้เฟิงยี่ก็รีบพูดขึ้นว่า “ภรรยาสุดที่รักครับ ผมผิดไปแล้วจริงๆ”
ขณะที่เขาพูด ก็เอื้อมมือออกไปกอดเธอ
อันที่จริงถังลั่วเหยาได้ระบายความโกรธในใจไปแล้วมากกว่าครึ่ง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผิดเรื่องอะไรคะ?”
เฟิงยี่ “……”
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาผิดตรงไหน?
แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ เมื่อคิดไปคิดมา และพยายามนำเรื่องราวทั้งหลายมาปะติดปะต่อกัน สุดท้ายแววตาเขาก็เป็นประกาย
เขามองไปที่ถังลั่วเหยาและพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจว่า “ผม……ผมไม่ควรจะจ้องมองผู้หญิงคนนั้น?”
เดิมทีนี่เป็นเพียงคำถามที่สุ่มถามมาเพื่อเอาตัวรอด ราวกับหมอม้าที่ช่วยม้าตายให้มีฟื้นโดยไม่มีความหวังในใจมากนัก
แต่ใบหน้าของถังลั่วเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฟิงยี่เพียงแค่เหลือบมองและรู้ว่าเขาเดาได้
หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็มีความชื่นชมยินดีเล็กน้อย
เขายิ้มและพูดว่า “ที่รัก คุณหึงผมเหรอ?”
เขาใช้น้ำเสียงภาคภูมิใจเล็กน้อยในการพูดคำนี้ออกมา
เมื่อถังลั่วเหยาได้ยินคำพูดของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองอย่างโมโห
เธอกัดฟันตอบกลับว่า”ดูเหมือนว่าคุณจะภูมิใจมากนักใช่ไหม?”
เฟิงยี่ยิ้มแล้วตีหน้าซื่อเข้าโอบกอดเอวของเธอ เขายิ้มอย่างคนหน้าไม่อายว่า “ผมจะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ? ผมแค่คิดว่าการที่คุณหึงผม มันทำให้ผมมีความสุขมาก มันแสดงว่าคุณใส่ใจผมมากแค่ไหน”
ถังลั่วเหยาถอนหายใจออกมา เธอไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อเห็นดังนั้นเฟิงยี่จึงอธิบายว่า “อันที่จริง ที่ผมจ้องมองไปยังผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่เพราะเธอสวยหรอกนะครับ”
ถังลั่วเหยาเหล่ตามองเขา “คิดว่าฉันเชื่อคุณเหรอ!”
เฟิงยี่รีบยกนิ้วขึ้นสามนิ้วอย่างรวดเร็ว “จริงๆนะครับผมสาบานต่อฟ้าดินได้เลย ไม่ว่าเธอจะสวยแค่ไหน แต่ในสายตาของผม เธอก็สวยสู้คุณไม่ได้ เนื่องจากคุณจึงจะเป็นภรรยาของผมไม่ใช่เหรอครับ?”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบเธอเอาดื้อๆ
ถังลั่วเหยาผลักเขาออกไปด้วยท่าทางรังเกียจและพูดอย่างเย็นชาว่า “แล้วแต่ว่าคุณจะแก้ตัวยังไงเถอะค่ะ ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
ท่าทางของเธอนั้นทำให้เฟิงยี่อดหัวเราะไม่ได้
เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พูดไปแล้วคุณอาจไม่เชื่อ ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ผมก็คงไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นในโลก “
เมื่อถังลั่วเหยาเห็นว่าเขาดูเหมือนจะมีบางอย่างจะอธิบาย แม้ว่าดวงตาของเธอจะไม่ได้มองมาที่เขา แต่เธอก็เงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ
และได้ยินเฟิงยี่พูดว่า “เหตุผลที่ผมจ้องมองเธอ ไม่ใช่เพราะว่าเธอสวย แต่เพราะเธอดูคล้ายกับคนที่ผมเคยเห็นมากๆ เพียงแต่เธอตายไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนนี้มันจึงทำให้ผมรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ผมคิดว่าผมเจอเธอเสียอีก”
ถังลั่วเหยาตกตะลึง เธอหันศีรษะมามองด้วยความสงสัย
“คนที่คุณเคยเห็นมาก่อน ใครกันคะ?
เฟิงยี่ส่ายหัว
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเห็นเธอผ่านรูปถ่าย รูปใบนั้นพ่อของผมสอดอยู่ในหนังสือ มีอยู่วันหนึ่งผมรู้สึกเบื่อก็เลยไปที่ห้องหนังสือ และบังเอิญพบรูปนั้นเข้า จึงถือมาถามพ่อ ท่านบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของท่านที่ล่วงลับไปหลายปีแล้ว”
ถังลั่วเหยารู้สึกประหลาดใจ เธอถามออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “แล้วคุณรู้ไหมว่าเธอคนนั้นชื่ออะไร?”
เฟิงยี่ส่ายหัว “ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้ถาม พ่อเองก็ไม่พูดอะไร”
ถังลั่วเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง
หากบอกว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องบังเอิญ ก็อาจเป็นไปได้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจของเธอหรือเปล่า จึงทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
เมื่อเห็นว่าเธอขมวดคิ้วเข้าหากันเฟิงยี่ก็ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะครับอย่าคิดมาก มีคนมากมายในโลกนี้ที่หน้าตาดูคล้ายกัน บางทีอาจเป็นแค่คนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับคนคนเดียวก็ได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ผมเห็นภาพนั้นผมอายุได้ไม่กี่ขวบ เดิมทีความจำของเด็กนั้นก็ไม่ได้แม่นยำอะไรมาก บางทีอาจเป็นเพราะผมจำผิดไปก็ได้”
เมื่อถังลั่วเหยาเห็นเขาพูดแบบนี้ แม้ว่าเธอจะยังเกิดความสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
จากนั้นทั้งสองคนก็จับมือกันและเดินไปที่อื่นอย่างมีความสุข
ณ เวลานี้อีกด้านหนึ่ง
ในป่าพีช เมื่อหญิงสาวส่งคู่หนุ่มสาวออกไปแล้วเธอนั่งลงอีกครั้ง เอามือลูบกู่ฉินที่วางบนโต๊ะหิน
นิ้วเรียวขาวของเธอลูบไปยังสาย และท่วงทำนองอันไพเราะก็เริ่มบรรเลงออกมาอีกครั้ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ไม่ได้ลงมือบรรเลงต่อ มือทั้งคู่หยุดอยู่กลางอากาศ
ผ่านไปสักพักเธอก็ยังถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วปล่อยมือกดลงบนสาย จากนั้นบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “มองดูแล้ววันนี้ไม่เหมาะกับการบรรเลงดนตรีสักเท่าไหร่ ที่จริงไม่มีอะไรให้กังวลแท้ๆ ทำไมจิตใจจึงไม่สงบเอาเสียเลยนะ?” “
ในขณะนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของป่าพีช เมื่อเห็นเธอนั่งอยู่ที่นั่นในชุดเสื้อผ้าบางๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที
เขาเดินเข้าไปสวมเสื้อคลุมบางๆลงบนบ่าของเธอแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ในป่าอากาศหนาวนะครับ ทำไมคุณออกมาทั้งๆที่สวมเสื้อผ้าบางแบบนี้?”
หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นเห็นเขาและยิ้ม
“พี่เวิน นี่เป็นเวลาเที่ยงแล้วนะคะ อากาศแบบนี้คนอื่นใส่เสื้อสายเดี่ยวด้วยซ้ำ แต่ฉันยังต้องมาใส่เสื้อคลุมแขนยาวอยู่อีก มันดูไม่แปลกเหรอคะ?”
ชายที่ถูกเรียกว่าพี่เวินหยุดชะงักลงชั่วคราว แววตาของเขาฉายแววไม่พอใจออกมา
“คนอื่นก็คือคนอื่น คุณคือคุณ ร่างกายของคุณสำคัญที่สุด ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”
ขณะที่เขาพูด ก็ได้คลุมเสื้อผ้าให้เธออย่างเรียบร้อย ดวงตาของเขาจ้องไปที่กู่เจิงบนโต๊ะหิน และก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“เวลานี้แล้ว หยุดบรรเลงก่อนเถอะ กลับไปทานอาหารกลางวันกันครับ!”
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้ปฏิเสธ แต่ยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง
ชายหนุ่มเริ่มก้าวออกไปไปข้างหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบกู่เจิงให้เธอ และหันไปตรวจสอบเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ จากนั้นจึงเดินไปทางข้างหน้าอย่างพึงพอใจ
ทั้งสองเดินไปได้ไม่นาน ก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆที่ค่อนข้างห่างไกล
วิลล่านี้มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีร้านอาหารเพียงร้านเดียว
ตำแหน่งที่ทั้งสองคนอาศัยอยู่ค่อนข้างซ่อนเร้นลึกลับที่สุดในวิลล่า ที่นี่มีร้านอาหารอยู่แห่งหนึ่ง หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในร้านอาหารแล้ว ชายคนนั้นก็พาเธอไปนั่งลง จากนั้นเดินตรงไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง