วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 664 ยอมรับผิด

เธอเบิกตากว้าง มองเฟิงยี่อย่างเหลือเชื่อ กัดฟันและพูดว่า “คุณไม่รู้เหรอคะว่าฉันโกรธเรื่องอะไร คุณทำเรื่องอะไรมาล่ะ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอไง?”

เฟิงยี่ “???”

เขาทำอะไรมา?

ทำไมต้องรู้สึกละอายใจด้วย?

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์บอกเขาว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะโกรธเรื่องอะไรอยู่ แต่ในเวลานี้ห้ามถามเด็ดขาด เพราะไม่ว่าเขาทำอะไรก็ผิดในตอนนี้

อย่าไปกังวลกับเรื่องอะไร ให้ขอโทษเขาไว้ก่อน

ดังนั้นเฟิงยี่จึงพยายามเอาตัวรอด และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ที่รักครับผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”

ถังลั่วเหยาหยุดนิ่งลงทันที

เดิมทีไฟที่กำลังพลุ่งพล่าน ก็ได้ดับลงเพราะประโยคที่ว่าผมผิดไปแล้วของเขา ทำให้ความโกรธของเธอเบาลงราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก

“อย่าคิดว่าคุณพูดว่าผิด ฉันก็จะยกโทษให้คุณนะคะ เชอะ!”

เมื่อได้ยินดังนี้เฟิงยี่ก็รีบพูดขึ้นว่า “ภรรยาสุดที่รักครับ ผมผิดไปแล้วจริงๆ”

ขณะที่เขาพูด ก็เอื้อมมือออกไปกอดเธอ

อันที่จริงถังลั่วเหยาได้ระบายความโกรธในใจไปแล้วมากกว่าครึ่ง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผิดเรื่องอะไรคะ?”

เฟิงยี่ “……”

เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาผิดตรงไหน?

แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ เมื่อคิดไปคิดมา และพยายามนำเรื่องราวทั้งหลายมาปะติดปะต่อกัน สุดท้ายแววตาเขาก็เป็นประกาย

เขามองไปที่ถังลั่วเหยาและพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจว่า “ผม……ผมไม่ควรจะจ้องมองผู้หญิงคนนั้น?”

เดิมทีนี่เป็นเพียงคำถามที่สุ่มถามมาเพื่อเอาตัวรอด ราวกับหมอม้าที่ช่วยม้าตายให้มีฟื้นโดยไม่มีความหวังในใจมากนัก

แต่ใบหน้าของถังลั่วเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เฟิงยี่เพียงแค่เหลือบมองและรู้ว่าเขาเดาได้

หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็มีความชื่นชมยินดีเล็กน้อย

เขายิ้มและพูดว่า “ที่รัก คุณหึงผมเหรอ?”

เขาใช้น้ำเสียงภาคภูมิใจเล็กน้อยในการพูดคำนี้ออกมา

เมื่อถังลั่วเหยาได้ยินคำพูดของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองอย่างโมโห

เธอกัดฟันตอบกลับว่า”ดูเหมือนว่าคุณจะภูมิใจมากนักใช่ไหม?”

เฟิงยี่ยิ้มแล้วตีหน้าซื่อเข้าโอบกอดเอวของเธอ เขายิ้มอย่างคนหน้าไม่อายว่า “ผมจะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ? ผมแค่คิดว่าการที่คุณหึงผม มันทำให้ผมมีความสุขมาก มันแสดงว่าคุณใส่ใจผมมากแค่ไหน”

ถังลั่วเหยาถอนหายใจออกมา เธอไม่ได้พูดอะไรอีก

เมื่อเห็นดังนั้นเฟิงยี่จึงอธิบายว่า “อันที่จริง ที่ผมจ้องมองไปยังผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่เพราะเธอสวยหรอกนะครับ”

ถังลั่วเหยาเหล่ตามองเขา “คิดว่าฉันเชื่อคุณเหรอ!”

เฟิงยี่รีบยกนิ้วขึ้นสามนิ้วอย่างรวดเร็ว “จริงๆนะครับผมสาบานต่อฟ้าดินได้เลย ไม่ว่าเธอจะสวยแค่ไหน แต่ในสายตาของผม เธอก็สวยสู้คุณไม่ได้ เนื่องจากคุณจึงจะเป็นภรรยาของผมไม่ใช่เหรอครับ?”

ขณะที่เขาพูด เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบเธอเอาดื้อๆ

ถังลั่วเหยาผลักเขาออกไปด้วยท่าทางรังเกียจและพูดอย่างเย็นชาว่า “แล้วแต่ว่าคุณจะแก้ตัวยังไงเถอะค่ะ ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”

ท่าทางของเธอนั้นทำให้เฟิงยี่อดหัวเราะไม่ได้

เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พูดไปแล้วคุณอาจไม่เชื่อ ถ้าผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ผมก็คงไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นในโลก “

เมื่อถังลั่วเหยาเห็นว่าเขาดูเหมือนจะมีบางอย่างจะอธิบาย แม้ว่าดวงตาของเธอจะไม่ได้มองมาที่เขา แต่เธอก็เงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ

และได้ยินเฟิงยี่พูดว่า “เหตุผลที่ผมจ้องมองเธอ ไม่ใช่เพราะว่าเธอสวย แต่เพราะเธอดูคล้ายกับคนที่ผมเคยเห็นมากๆ เพียงแต่เธอตายไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนนี้มันจึงทำให้ผมรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ผมคิดว่าผมเจอเธอเสียอีก”

ถังลั่วเหยาตกตะลึง เธอหันศีรษะมามองด้วยความสงสัย

“คนที่คุณเคยเห็นมาก่อน ใครกันคะ?

เฟิงยี่ส่ายหัว

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเห็นเธอผ่านรูปถ่าย รูปใบนั้นพ่อของผมสอดอยู่ในหนังสือ มีอยู่วันหนึ่งผมรู้สึกเบื่อก็เลยไปที่ห้องหนังสือ และบังเอิญพบรูปนั้นเข้า จึงถือมาถามพ่อ ท่านบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของท่านที่ล่วงลับไปหลายปีแล้ว”

ถังลั่วเหยารู้สึกประหลาดใจ เธอถามออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “แล้วคุณรู้ไหมว่าเธอคนนั้นชื่ออะไร?”

เฟิงยี่ส่ายหัว “ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้ถาม พ่อเองก็ไม่พูดอะไร”

ถังลั่วเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง

หากบอกว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องบังเอิญ ก็อาจเป็นไปได้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจของเธอหรือเปล่า จึงทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ

เมื่อเห็นว่าเธอขมวดคิ้วเข้าหากันเฟิงยี่ก็ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะครับอย่าคิดมาก มีคนมากมายในโลกนี้ที่หน้าตาดูคล้ายกัน บางทีอาจเป็นแค่คนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับคนคนเดียวก็ได้”

“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ผมเห็นภาพนั้นผมอายุได้ไม่กี่ขวบ เดิมทีความจำของเด็กนั้นก็ไม่ได้แม่นยำอะไรมาก บางทีอาจเป็นเพราะผมจำผิดไปก็ได้”

เมื่อถังลั่วเหยาเห็นเขาพูดแบบนี้ แม้ว่าเธอจะยังเกิดความสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

จากนั้นทั้งสองคนก็จับมือกันและเดินไปที่อื่นอย่างมีความสุข

ณ เวลานี้อีกด้านหนึ่ง

ในป่าพีช เมื่อหญิงสาวส่งคู่หนุ่มสาวออกไปแล้วเธอนั่งลงอีกครั้ง เอามือลูบกู่ฉินที่วางบนโต๊ะหิน

นิ้วเรียวขาวของเธอลูบไปยังสาย และท่วงทำนองอันไพเราะก็เริ่มบรรเลงออกมาอีกครั้ง

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ไม่ได้ลงมือบรรเลงต่อ มือทั้งคู่หยุดอยู่กลางอากาศ

ผ่านไปสักพักเธอก็ยังถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วปล่อยมือกดลงบนสาย จากนั้นบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “มองดูแล้ววันนี้ไม่เหมาะกับการบรรเลงดนตรีสักเท่าไหร่ ที่จริงไม่มีอะไรให้กังวลแท้ๆ ทำไมจิตใจจึงไม่สงบเอาเสียเลยนะ?” “

ในขณะนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ

ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของป่าพีช เมื่อเห็นเธอนั่งอยู่ที่นั่นในชุดเสื้อผ้าบางๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที

เขาเดินเข้าไปสวมเสื้อคลุมบางๆลงบนบ่าของเธอแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ในป่าอากาศหนาวนะครับ ทำไมคุณออกมาทั้งๆที่สวมเสื้อผ้าบางแบบนี้?”

หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นเห็นเขาและยิ้ม

“พี่เวิน นี่เป็นเวลาเที่ยงแล้วนะคะ อากาศแบบนี้คนอื่นใส่เสื้อสายเดี่ยวด้วยซ้ำ แต่ฉันยังต้องมาใส่เสื้อคลุมแขนยาวอยู่อีก มันดูไม่แปลกเหรอคะ?”

ชายที่ถูกเรียกว่าพี่เวินหยุดชะงักลงชั่วคราว แววตาของเขาฉายแววไม่พอใจออกมา

“คนอื่นก็คือคนอื่น คุณคือคุณ ร่างกายของคุณสำคัญที่สุด ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”

ขณะที่เขาพูด ก็ได้คลุมเสื้อผ้าให้เธออย่างเรียบร้อย ดวงตาของเขาจ้องไปที่กู่เจิงบนโต๊ะหิน และก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

“เวลานี้แล้ว หยุดบรรเลงก่อนเถอะ กลับไปทานอาหารกลางวันกันครับ!”

หญิงสาวคนนั้นไม่ได้ปฏิเสธ แต่ยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง

ชายหนุ่มเริ่มก้าวออกไปไปข้างหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบกู่เจิงให้เธอ และหันไปตรวจสอบเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ จากนั้นจึงเดินไปทางข้างหน้าอย่างพึงพอใจ

ทั้งสองเดินไปได้ไม่นาน ก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆที่ค่อนข้างห่างไกล

วิลล่านี้มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีร้านอาหารเพียงร้านเดียว

ตำแหน่งที่ทั้งสองคนอาศัยอยู่ค่อนข้างซ่อนเร้นลึกลับที่สุดในวิลล่า ที่นี่มีร้านอาหารอยู่แห่งหนึ่ง หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในร้านอาหารแล้ว ชายคนนั้นก็พาเธอไปนั่งลง จากนั้นเดินตรงไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset