อันที่จริง ตอนที่อยู่ต่างประเทศเมื่อ 20 ปีมานี้ เขาก็ทำได้ดีทีเดียว
หลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็คงเป็นเวินเหวินจวินคนที่อ่อนเสมอ
คนที่คอยอยู่กับเธอ ดูแลเธอ และรักเธอ เป็นพี่เวินของเธอที่สามารถวางใจได้เสมอมา
แต่ว่าคนเราหนอ ในบางครั้งก็เป็นเช่นนี้
ไม่ว่าลมหรือพายุฝนจากภายนอกก็ไม่สามารถทำให้เขาสั่นคลอน ไม่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของใครๆได้ แต่หากหนามในใจถูกสะกิดขึ้นล่ะก็
ความแหลมคมที่ถูกปิดกั้นเอาไว้จะถูกเปิดเผยในทันที
เวินเหวินจวินสูดหายใจเข้าลึกและพูดเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า “ขอโทษทีครับ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรเสียอารมณ์ใส่คุณ เสี่ยวหว่าน เดี๋ยวผมจะส่งคุณกลับไปที่ห้อง คุณจะได้พักผ่อนนะครับ”
ซูหว่านพยักหน้า เธอไม่พูดอะไร จากนั้นยื่นมือให้เขา ปล่อยให้เขาเดินพาเธอไปที่โรงแรม
เมื่อมาถึงโรงแรม ซูหว่านก็ดึงมือกลับและพูดกับเขาเบาๆว่า “ส่งถึงที่นี่ก็พอค่ะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเอง พี่เวิน วันนี้ต้องขอบคุณมากนะคะ คุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
เนื่องจากที่นี่เป็นวิลล่าที่คนดังและคนมีอิทธิพลมักแวะเวียนเข้ามา ปัญหาด้านความปลอดภัยจึงไม่ใช่เรื่องแย่นัก
อีกอย่าง สภาพร่างกายปัจจุบันของซูหว่านก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเท่าไร
เมื่อเห็นดังนี้ เวินเหวินจวินก็ไม่ยืนกรานไปส่งเธออีก เขาปล่อยมือและมองดูเธอเดินเข้าไปข้างใน
ส่วนถังลั่วเหยาและเฟิงยี่ได้เดินเล่นข้างนอกเป็นเวลานาน พวกเขาก็เริ่มเหนื่อย ดังนั้นทั้งสองจึงพากันกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
ทั้งถังลั่วเหยาและเฟิงยี่ยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน แต่ถังลั่วเหยารู้สึกเหนื่อยและไม่อยากกินข้าวนอกบ้าน
ดังนั้นเฟิงยี่จึงตัดสินใจกลับไปที่ห้องและสั่งอาหารมาทานที่ห้องโดยตรง
คาดไม่ถึงว่า ทันทีที่ทั้งสองคนเข้ามาในลิฟต์ พวกเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น
“บังเอิญจังนะคะ เราได้พบกันอีกแล้ว”
ซูหว่านยิ้มออกมาเบาๆ และขยับเข้าไปเล็กน้อย
ถังลั่วเหยาและเฟิงยี่ก็ประหลาดใจเช่นกัน หลังจากเดินเข้ามา พวกเขาทักทายด้วยรอยยิ้มว่า
“บังเอิญจริงๆนะคะ คุณพักอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”
ซูหว่านพยักหน้า
เฟิงยี่มองมาที่เธอ และยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเหมือนผู้หญิงที่พ่อเก็บรูปไว้ในหนังสือมากๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “คุณมาเที่ยวหรือครับ? หรือว่าอาศัยอยู่ที่นี่?”
วิลล่าตากอากาศหมิงหลิวมีที่พักด้วย ซึ่งด้านหลังมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับคนบางกลุ่มที่มาฝึกฝนร่างกายและบำบัดจิตใจของพวกเขา
แน่นอนว่าคนพวกนี้รวยมาก ต้องใช้เงินเยอะหากจะอยู่ที่นี่นานๆ
ซูหว่านยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “พอดีฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ จะพักอยู่ที่นี่สองสามวัน อีกไม่กี่วันก็ไปแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองก็พยักหน้าทันที
ไม่รู้ว่าทำไมถังลั่วเหยาถึงรู้สึกมีความสนิทสนมกับผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้านี้
อาจเป็นเพราะเธอเป็นคนสวยมาก แต่ในความงดงามของเธอไม่ได้มีความดุดันเย่อหยิ่งอยู่เลย
เธออ่อนโยนแต่เหมือนพี่สาวคนสวยคนหนึ่ง
ดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “พี่สาวคะ คุณชื่ออะไร?”
ซูหว่านยิ้มและพูดว่า “ฉันแซ่ซูชื่อหว่านค่ะ”
ถังลั่วเหยาพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันเรียกคุณว่าพี่ซูได้ไหมคะ?”
ซูหว่านรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้ฟัง คิดไม่ถึงว่าเธอจะเรียกตนเช่นนี้
หลังจากนั้น เธอก็พยักหน้าอย่างมีความสุขและถามว่า “แล้วคุณล่ะคะ คุณชื่ออะไร?”
ถังลั่วเหยาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้หลงตัวเอง แต่เธอก็แปลกใจมาก “คุณไม่รู้จักฉันเหรอคะ?”
ซูหว่านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เธอมองไปอย่างงุนงงก่อนจะมองไปที่เฟิงยี่ และถามด้วยความเขินอายว่า “ฉัน ฉันควรจะ……รู้จักคุณเหรอคะ?”
ถังลั่วเหยา “……”
พูดตามตรงว่า หากประโยคนี้ถูกพูดด้วยอีกคนหนึ่ง และน้ำเสียงอีกแบบหนึ่งเกรงว่าประโยคนี้จะยั่วยุมากทีเดียว
เพราะตอนนี้ถังลั่วเหยาได้รับความนิยมอย่างมาก อย่าว่าแต่คนหนุ่มสาวในประเทศจีน แม้แต่ผู้สูงอายุถึงจะไม่รู้ชื่อจริงของเธอ ก็รู้จักชื่อตัวละครที่เธอเล่นอยู่สองสามชื่อ
ไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักหน้าเธอนี่นา?
แต่ว่า ถังลั่วเหยาก็ไม่กล้าจะหลงตัวเองเกินไป เธอเอามือแตะไปยังจมูกด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย จากนั้นจึงแนะนำอย่างเขินอายว่า “ฉันแซ่ถัง ชื่อลั่วเหยาค่ะนี่คือสามีของฉัน เขาชื่อเฟิงยี่ เราเดินทางมาเที่ยวกันค่ะ”
ถังลั่วเหยาแอบสังเกตเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของซูหว่านไม่ได้เปลี่ยนไปเมื่อเธอแนะนำตัวเอง
แต่เมื่อเธอแนะนำเฟิงยี่ รอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็แข็งทื่อลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนความตกตะลึงจะแวบผ่านดวงตาของเธอ
“คุณแซ่เฟิงงั้นเหรอคะ?”
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังมองดูตนเอง และกำลังเอ่ยถามเขาจริงๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าอย่างสุภาพตอบว่า
“ใช่ครับ”
ซูหว่านตกตะลึงขึ้นทันที
เธอมองเฟิงยี่อย่างไม่ขยับเขยื้อน แม้ว่าการจ้องมองแบบนี้มันดูไม่สุภาพเอาเสียเลย
เนื่องจากทั้งสองไม่คุ้นเคยกัน และนี่เป็นเพียงการพบกันครั้งที่สองในระยะเวลาที่พบกันไม่เกินสองชั่วโมง
แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองใดๆเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาเขาหรือเปล่า แม้ว่าซูหว่านจะมองเขาอยู่ แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอไม่ได้มองเขาอยู่จริงๆ
สายตาของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา แต่ดูเหมือนว่าจะทะลุผ่านใบหน้าของเขาและมองเห็นเป็นอย่างอื่น
ถังลั่วเหยาสังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน เธอเงยหน้าขึ้นมองเฟิงยี่ ทั้งสองสบตากัน ทั้งคู่เห็นความสับสนในดวงตาของอีกฝ่าย
ถังลั่วเหยาถามเสียงดังว่า “พี่ซู คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
ซูหว่านจึงกลับมารู้สึกตัวขึ้นอีกที
เมื่อตระหนักได้ว่าเธอเหม่อลอยไป ดังนั้นจึงยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ฉันขอโทษนะคะ ฉันเหม่อลอยไปหน่อย”
สายตาของถังลั่วเหยามองไปด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตร “ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อครู่คุณ……”
ซูหว่านเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่เห็นว่าคุณผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นเคยมาก และทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งของฉัน”
ขณะที่เธอพูด ก็มีร่องรอยของความคิดถึงปรากฏบนใบหน้าของเธอ
แม้ว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเฟิงยี่จะสงบและไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ปากของเขาอยากจะถามคำถามที่เขาข้องใจมาโดยตลอด
“เพื่อนที่คุณกำลังพูดถึงแซ่เฟิง ชื่อว่าเฟิงสิงลังหรือเปล่าครับ?”
ร่างกายของซูหว่านสั่นสะท้าน
เห็นได้ชัดว่าเฟิงยี่พูดในสิ่งที่เธอคิดออกมา
ท่าทางของเธอดูตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ จากการที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
มีเพียงดวงตาที่ใสสะอาดคู่นั้น เกิดเป็นแสงลุกโชติช่วงเปล่งออกมา
“คุณรู้จักเขาเหรอคะ?”
เฟิงยี่พยักหน้า
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เขาเป็นพ่อของผมเอง”
ซูหว่านตกตะลึงอีกครั้ง
วินาทีนี้ ใบหน้าอันบอบบางและสวยงามของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับว่าเธอได้ยินบางสิ่งที่น่าตกใจ
แต่นั่นเป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานเธอก็ได้สติกลับคืนมา
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งนั้น ไม่ได้ดูผ่อนคลายและอ่อนโยนอีกต่อไปแล้ว มันดูเหมือนไม่ค่อยยินดีนัก
เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังคุยกับพวกเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง
เธอพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะคะ อืม พวกเขาคงจะแต่งงานกันแล้ว นี่มันก็เกินกว่า20ปีแล้ว พวกเขาน่าจะมีลูกกันแล้วล่ะ”