ขณะที่พูดอยู่ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถามว่า “แม่ของคุณชื่อตู๋กูยิงหรือเปล่า?”
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อชื่อแม่ของเขาออกมาจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนนี้ก็แวบเข้ามาในหัวใจของเฟิงยี่
เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา เพียงพยักหน้าเบาๆตอบว่า “ใช่ครับ คุณรู้จักเธอด้วยเหรอ?”
คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหว่านดูอบอุ่นขึ้นมาก
“ใช่ ฉันรู้จักเธอ”
จะไม่รู้จักกันได้ยังไงล่ะ
นั่นคือผู้หญิงที่แต่เล็กจนโต เธอคอยตามติดก้นเรียกว่าพี่สาวตลอดมา!
นั่นเป็นพี่สาวที่ปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ และคอยดูแลเธอเสมอมา
น่าเสียดายที่โชคชะตาชอบเล่นตลก เป็นเธอที่ทำไม่ดีกับพี่สาว จวบจนปัจจุบันเธอก็ยังไม่กล้าแบกหน้าไปหาหล่อนอีกเลย!
และจนถึงวันนี้เธอไม่มีหน้าเจอหน้าเธออีกเลย!
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ดวงตาของซูหว่านก็มืดมนลง
ทันใดนั้น ลิฟต์ก็ส่งเสียงออกมา เสียงนี้ทำลายความเงียบในฉับพลัน
แต่ก็ช่วยบรรเทาความเคอะเขินของทั้งสามได้อย่างดี
ซูหว่านเหลือบมองที่หมายเลขชั้นและกล่าวว่า “ถึงชั้นที่ฉันอยู่แล้วค่ะ”
ถังลั่วเหยาและเฟิงยี่ต่างก็พยักหน้ามองดูเธอเดินออกจากลิฟต์ไป ถังลั่วเหยาโบกมือให้เธออย่างเป็นมิตรว่า
“ไว้เจอกันใหม่นะคะ พี่ซู”
ซูหว่านหันกลับมา พยักหน้าอย่างสุภาพจากนั้นจึงเดินจากไป
ลิฟต์ขึ้นไปอีกสองชั้นก่อนจะถึงชั้นที่ถังลั่วเหยาและเฟิงยี่อาศัยอยู่
เธอจับแขนของเฟิงยี่ขณะที่เดินกลับไปยังห้อง เธอถามขึ้นว่า “เฟิงยี่คะ คุณคิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงในรูปที่อยู่ในหนังสือของคุณลุงเฟิงหรือเปล่าคะ?”
สีหน้าของเฟิงยี่สงบลงเล็กน้อย เขาพยักหน้าเห็นด้วยว่า “น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
ถังลั่วเหยาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“แต่คุณไม่ได้บอกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วหรือคะ เธอจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?”
อันที่จริงเฟิงยี่ก็ไม่เข้าใจในข้อนี้เหมือนกัน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายมีลักษณะเหมือนกันกับบุคคลในรูปนั้นมาก และยังรู้จักพ่อกับแม่ของเขา จะต้องเป็นคนคนเดียวกันไม่มีทางผิดพลาดแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เบ้ปากแล้วพูดว่า “ไม่รู้สิครับ เดี๋ยวผมจะหาโอกาสไปถามพ่อแล้วกันนะครับ”
เมื่อถังลั่วเหยาเห็นดังนั้น เธอรู้ว่าไม่มีทางอื่นใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว จึงได้แต่พยักหน้า
ทั้งสองกลับมายังห้อง เฟิงยี่ทำการโทรสั่งอาหารมาที่ห้อง จากนั้นก็ไปนอนบนโซฟาดูทีวีกับถังลั่วเหยา
ไม่กี่นาทีต่อมา อาหารก็นำขึ้นมาเสิร์ฟ
มีปลาน้ำแดงของโปรดของถังลั่วเหยา เฟิงยี่คีบก้างปลาออกให้เธอแล้วนำเนื้อปลาใส่ลงในชาม พูดว่า “ทานเยอะๆนะครับ เดี๋ยวกิจกรรมในตอนบ่ายคุณต้องใช้กำลังมากไม่ใช่ว่าจะร้องหิวขึ้นมากลางคันนะครับ”
ถังลั่วเหยากินเนื้อปลาที่เขาคีบมาให้อย่างว่านอนสอนง่ายและถามเขาว่า “ต่อจากนี้มีกิจกรรมอะไรเหรอคะ?”
“มีสนามกอล์ฟอยู่ครับ คุณเล่นเป็นไหม?”
ถังลั่วเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่เป็นค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ ผมจะสอนคุณเอง”
เมื่อถังลั่วเหยาได้ยินดังนั้น เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสองพักรับประทานอาหารกลางวันกันต่ออีก 1 ชั่วโมง ประมาณก่อนบ่ายสามโมงครึ่ง พวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปจากห้อง
สนามกอล์ฟด้านหลังกว้างขวางมาก แต่คนไม่เยอะในช่วงนี้
ถังลั่วเหยาหยิบไม้ตีกอล์ฟขึ้นมา เธอยืนอยู่ที่นั่นและให้เฟิงยี่สอนเธอ
เฟิงยี่โอบร่างของเธอจากด้านหลัง จากนั้นจับมือของเธอไว้ ให้เธอจับไม้กระบองไว้ให้แน่น พยายามหาทิศทางและมุม พร้อมทั้งสอนเธอเรื่องการออกกำลังให้พอเหมาะ
เขาพูดขึ้นว่า “ดูนี่นะครับ ยืนแบบนี้ บิดเอวเบาๆ แล้วเดินไปทางนี้ ใช่……คุณลองตีดู”
ถังลั่วเหยาเม้มริมฝีปาก ปกติแล้วเธอไม่ชอบกีฬากลางแจ้งมากนัก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เล่นกอล์ฟ ถ้าบอกว่าเธอไม่ประหม่าก็คงจะโกหก
ตามวิธีที่ชายหนุ่มสอน เธอลองหาทิศทางเบาๆ แล้วกำมือแน่น
“ปึง!”
น่าทึ่งจริงๆที่เธอตีมันลงหลุมได้ในครั้งเดียว!
ดวงตาของถังลั่วเหยาเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจและตะโกนว่า “ว้าว! ฉันตีเข้าแล้ว!”
เฟิงยี่ยิ้มและพูดว่า “ดีมากครับ คุณเก่งมาก มองดูแล้วมีพรสวรรค์ทีเดียว”
ถังลั่วเหยามีความสุขมาก เดิมทีเธอไม่ได้มีความสนใจกระตือรือร้นมากนักสำหรับกีฬานี้ แต่เนื่องจากทำประตูได้ เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ฉันอยากเล่นอีก!”
“โอเคครับ ผมให้คุณเล่นต่อ”
อาจเป็นเพราะเธอเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเล่นกีฬานี้ก็เป็นได้
ในหลุมต่อๆมา นอกเหนือจากสามช็อตในช่วงกลาง ที่เธอไม่ค่อยมั่นใจนัก ที่เหลือเธอก็ตีเข้าหมดจริงๆ
ถังลั่วเหยาตื่นเต้นเสียจนหาทางไปแทบไม่ถูก
แต่ว่า ดูเธอจะมีความสุขมาก ทว่าเฟิงยี่รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เดิมทีเขาต้องการใช้กีฬานี้เพื่อหาโอกาสใกล้ชิดกับเธอ สร้างกิจกรรมกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยความรักขึ้น
ลองคิดดูสิ เมื่อทั้งสองยืนอยู่บนสนามหญ้า ถ้าเขาอยากจะสอนเธอ เขาก็ต้องโอบเธอจากด้านหลัง มันโรแมนติกมากใช่ไหมล่ะ
แต่สำหรับผู้หญิงตรงหน้านี้ เซลล์พัฒนาการของเธอดีเกินไปหรือเปล่า? เขาเพิ่งสาธิตไปแค่ครั้งเดียว เธอก็เรียนรู้มันได้จริงๆงั้นเหรอ?
และยังมีแนวโน้มที่จะแซงหน้าเขาด้วย?
จะให้เขาทนได้อย่างไร?
เฟิงยี่ไม่พอใจนัก เขาเดินถือไม้กอล์ฟไปท้าแข่งกับเธอ
ถังลั่วเหยาเป็นลูกโคแรกเกิดที่ไม่กลัวเสืออยู่แล้ว เมื่อถูกเขาท้าทายเช่นนี้ ใครจะไปกลัวใครกันล่ะ? แข่งก็แข่งสิ!
นั่นทำให้ทั้งสองคนเริ่มแข่งกันว่า ใครจะตีลงหลุมได้มากกว่ากัน
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ถังลั่วเหยาได้เล่น แม้ว่าเธอจะมีความสามารถ แต่ทักษะและความแข็งแกร่งทางกายภาพไม่สามารถตามเฟิงยี่ผู้ซึ่งเล่นกีฬามาหลายปีแล้วได้ทัน
ไม่นานคะแนนเธอก็เริ่มตก
ทันทีที่เธอดูสกอร์ เธอก็รู้ว่ามีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะชนะได้ในครั้งนี้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆและตีหนักกว่าเดิม
แต่ในกีฬาบางประเภท ไม่ใช่ว่าลงแรงมากก็จะได้ผลไปเสียหมด
มันขึ้นอยู่กับจิตใจด้วย
หากว่าจิตใจไม่กระวนกระวายก็จะเข้าถึงได้ง่าย แต่เมื่อจิตวิตกกังวลการเข้าก็ยากขึ้น
ต่อมาถังลั่วเหยาตีไม่ลงหลุมติดต่อกันห้าครั้ง เธอก็เริ่มวิตกกังวล นอกจากนี้ อากาศก็ค่อนข้างร้อน เหงื่อที่ไหลรินทำให้ผมของเธอเปียกปอน
เฟิงยี่ชนะไปหลายคะแนน เขาหันศีรษะไปดูแววตาอันวิตกกังวลของเธอ แล้วหัวใจของเขาก็อ่อนลง
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็แกล้งทำเป็นตีพลาดอยู่สามลูก
คราวนี้ ถังลั่วเหยาตีเข้าอีกครั้ง เธอยิ้มร่าเริงอย่างมีความสุข
เธอมองดูสกอร์อีกครั้ง และพบว่าห่างกันเพียงสองประตูเท่านั้น
อืม แค่สองลูกเอง ไม่เป็นไรหรอก เธอรู้สึกว่าถ้าโชคเข้าข้างเธอสักหน่อย เธอก็จะสามารถไล่ตามได้ทัน
ดังนั้นเธอจึงมองไปที่เฟิงยี่อย่างยั่วยุ เบ้ริมฝีปากแล้วพูดว่า “เป็นยังไงล่ะคะ? ถ้าคุณยอมจำนนในตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปนะคะ”
เฟิงยี่หรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่เหมือนจิ้งจอกนั้นแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“อย่าภูมิใจเร็วเกินไปนะครับ ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าใครแพ้ใครชนะ”
ถังลั่วเหยาบ่นออกมาเบาๆ “ใครบอกว่าไม่แน่คะ? หรือเอาอย่างนี้ไหม พวกเรามาพนันกัน ถ้าแข่งอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อ คุณกล้าไหมล่ะ?”
เฟิงยี่เลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้ปฏิเสธ
“ได้สิครับ คุณจะเดิมพันอะไรดีล่ะ?”
ถังลั่วเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทั้งคู่ก็แต่งงานกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสองคนมีร่วมกัน ไม่รู้จะเอาอะไรมาเดิมพันดี