ซูหว่านจึงพยักหน้า
เธอเงยหน้ามองถังลั่วเหยาด้วยร่องรอยของคำขอโทษและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขอโทษนะคะคุณถัง ฉันสุขภาพไม่ค่อยดี ต้องกลับไปพักก่อน”
ถังลั่วเหยายิ้ม: “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็จะกลับพอดี”
จากนั้นก็พูดขึ้นอีก: “ไม่ทราบว่าสาเหตุที่สุขภาพของคุณไม่ดีเกิดจากอะไรคะ? ก่อนหน้านี้แม่ของฉันก็สุขภาพไม่ดี ดังนั้นฉันจึงพาเธอมาที่เมืองหลวงเพื่อเสาะหาทางรักษา จึงได้รู้จักกับคุณหมอหลายท่าน ถ้าหากต้องการล่ะก็ ฉันแนะนำให้คุณได้นะคะ”
ซูหว่านยิ้มอย่างอบอุ่นและส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเป็นโรคเดิม ๆ รักษาไม่หายหรอกค่ะ”
พูดแล้วก็หันไปมองเวินเหวินจวิน
“พี่เวิน พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
เวินเหวินจวินพยักหน้าและช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
ถังลั่วเหยามองพวกเขาเดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ลุกขึ้นและเดินออกไป
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธอไม่เห็นคือ หลังจากเธอออกไปไม่นาน
ที่ลานจอดรถชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า ซูหว่านและตู๋กูยิงได้เผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว
ในเวลานั้นเวินเหวินจวินไปขับรถและขอให้ซูหว่านรอที่นั่น คิดไม่ถึงว่ารอตรงนั้นยังไม่ถึงสองนาที ก็มีรถคันหนึ่งเข้ามาจอดตรงหน้า จากนั้นตู๋กูยิงก็ลงมาจากรถ
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน และทั้งคู่ก็ชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ตู๋กูยิงต้องโกรธอยู่แล้ว เธอหันมองไปรอบๆ และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็ลากซูหว่านไปที่มุมข้างๆ กับเธอ
จากนั้นก็ต้องเขม็งและพูดอย่างโกรธเคือง: “ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามกลับมา? ทำไมเธอถึงกลับมา? เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ซูหว่านอึ้งอยู่ตรงนั้นยังไม่ได้สติกลับมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น จากนั้นรถสีดำก็ดัง “เอี๊ยด” และหยุด
เวินเหวินจวินลงจากรถมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเร่งฝีเท้าก้าวเข้ามาและดึงตัวของซูหว่านที่ยังตกตะลึงอยู่ไปไว้ด้านหลังเธอ
“คุณทำอะไร?”
เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
เสียงตะโกนนี้ไม่ได้ทำให้ตู๋กูยิงตกใจกลัวเลย กลับทำให้ซูหว่านได้สติกลับมา
เธอมองคนตรงหน้าและมีสีหน้าตื่นตระหนกและรีบอธิบาย: “พี่คะ ฉะ…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะกลับมา พี่ฟังฉันอธิบาย…”
อย่างไรก็ตามตู๋กูยิงไม่ได้โอกาสกับเธอเลย
เธอขัดจังหวะขึ้นทันที “พอแล้ว! ซูหว่าน ตอนนั้นเธอรับปากอะไรไว้? ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่สามารถเอามันมาเป็นข้ออ้างที่จะทำลายสัญญานั้นได้!”
ซูหว่านได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดใจราวกับมีดบาด และน้ำตาก็ไหลลงมาในทันใด
“พี่คะ…”
ตู๋กูยิงมองไปที่เธอและยิ้มอย่างเย็นชา “ว่าไง? เธอยังคิดว่าพวกเธอยังจะสามารถจุดถ่านไฟเก่าได้อยู่เหรอ? เธอยังคิดว่าจะยังสามารถยั่วเขาได้อีกครั้ง? ซูหว่าน ทำไมเธอถึงได้หน้าไม่อายแบบนี้? แกล้งทำเป็นอ่อนแอแบบนี้ให้ใครดูเหรอ? เธอคิดว่าฉันจะเห็นใจเธอ สงสารเธองั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”
“หุบปาก!”
เวินเหวินจวินทนไม่ได้อีกต่อไป ไม่สนใจว่าซูหว่านจะขวางไว้ เขาก้าวเข้าไปข้างหน้าและดึงซูหว่านไปไว้ด้านหลังตน
เขาจ้องมองตู๋กูยิงด้วยความโกรธและพูดเสียงดัง: “เสี่ยวหวั่นเป็นคนมีชีวิตจิตใจ เธอมีอิสระเป็นของตัวเอง เธออยากจะกลับมาหรือไปที่ไหนก็ได้ คุณไม่มีสิทธิ์จะมาก้าวก่าย!”
ตู๋กูยิงมองดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าแล้วมองซูหว่านและยิ้มเย็นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หึ ดูไม่ออกเลยนะ อายุก็ปูนนี้แล้ว ยังจะมีผู้ชายจะเป็นจะตายเพราะเธอ พยายามจะปกป้องเธอสุดกำลัง?”
สายตาของเธอมองหน้าของเวินเหวินจวินอีกครั้งและยิ้มอย่างเย็นชา: “คุณเป็นอะไรกับเธอ? คนรัก? สามี? หรือว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย? เธอให้กลับมาเป็นเพื่อนเธองั้นเหรอ?”
เวินเหวินจวินพูดอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ไม่ใช่เรื่องของคุณที่จะต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเรา คุณนายเฟิง คุณเองก็เป็นคนมีศักดิ์ศรี พวกคุณเองก็เคยเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้เวลาที่พบกัน ทำให้ต่างฝ่ายต้องอับอาย”
ตู๋กูยินได้ยินอย่างนั้นเหมือนได้ยินได้ฟังเรื่องตลกที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน
ตอนแรกเธอแสดงความไม่เชื่อและเธอก็หัวเราะร่วน
“ศักดิ์ศรี? เป็นคำที่น่าขันที่สุดที่ฉันได้ยินในวันนี้เลย เธอบอกอย่างนั้นเหรอว่าเราเป็นพี่น้องกัน? งั้นตอนนี้ฉันจะบอกเธอให้นะ พวกเราไม่ใช่พี่น้องกันนานแล้ว ตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่เธอหน้าไม่อายและยั่วยวนพี่เขยตัวเองในวันนั้น พวกเราก็ไม่ใช่พี่น้องกันอีกแล้ว!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึง
สีหน้าของซูหว่านเปลี่ยนเป็นซีดขาว ตัวเธอแข็งเกร็งและมองไปที่ตู๋กูยิงที่มีสีหน้าเย็นชาอย่างรุนแรง
ควาความทรงจำในอดีตที่ไม่อาจทนได้กลับมาท่วมท้นในใจอีกครั้ง น้ำตาก็ไหลท่วมเหมือนวาล์วน้ำที่ถูกเปิด
“พี่คะ ฉันไม่ได้อยากจะเข้าไปรบกวนชีวิตพี่อีกจริงๆ ฉันเพียง…ฉันเพียงแค่อยากมาให้เห็นกับตาเป็นครั้งสุดท้าย…”
ตู๋กูยิงยิ้มเย็นและพูด: “ดูอะไร? อยากจะมาดูผู้ชายที่เธออยากจะได้เขามานานตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรือว่าจะมาดูว่าฉันกับเขายังรักกันดีอยู่ไหม จะมีโอกาสมาคั่นกลางได้หรือเปล่า?”
“ซูหว่าน หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นฉันจะช่วยเธอไว้ทำไมนะ? สู้ให้เธอจมน้ำตายในทะเลนั่นไม่ดีกว่าเหรอ? เธอจะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบที่เธอทำตอนนี้ ส่วนฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกเกลียดชัง เธอว่าไง?”
ซูหว่านตกใจและก้าวถอยไปสองก้าว ทุกอย่างที่ตู๋กูยิงพูดมานั้นเป็นเหมือนกับมีที่ปักเข้าไปในหัวใจของเธอ
เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า
“พี่คะ ฉันรู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร พี่ก็ไม่ยกโทษให้ฉัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก พี่วางใจเถอะค่ะ ฉันไม่มีความคิดแบบที่พี่พูด ในเมื่อพี่ไม่อยากเจอฉัน อย่างนั้นต่อไปฉันจะหายไป ไปไกลแสนไกล จะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก”
ตู๋กูยิงมองเธอและไม่พูดอะไร
แววตาของเธอเย็นเยียบแต่มันกลับพูดทุกอย่าง
สายตาของซูหว่านหรี่ลง และครู่หนึ่งเธอก็ถอยหลังหนึ่งก้าว จากนั้นก้มลงและโค้งคำนับให้ตู๋กูยิงแล้วหันหลังและเดินไปที่รถ
เวินเหวินจวินเห็นแบบนั้นแล้วขมวดคิ้วแน่น
สุดท้ายเขาก็เหลือบไปมองตู๋กูยิง ไม่พูดอะไรและหันหลังวิ่งตามไป
จนกระทั่งซูหว่านขึ้นรถและรถก็ออกไปตู๋กูยิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
สีหน้าเธอของเธอยังดูแย่มาก เธอจ้องไปทางรถที่ขับออกไปและสั่งสาวใช้ที่ตามมาข้างหลัง: “ช่วยฉันตรวจสอบที เธอกลับมาตอนไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
สาวใช้คนนนั้นดูมีอายุบ้างแล้ว เป็นคนที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าและพูดกับเธอด้วยความเคารพ: “ค่ะ”
หลังจากตู๋กูยิงสั่งเสร็จ ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่สบายใจ แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่แล้ว
เธอคิดถึงสีหน้าของซูหว่านเมื่อครู่ มันดูซีดขาวและเปราะบางอย่างนั้น มันช่างดูแตกต่างจากท่าทีฮึกเหิมดุจเสือและมังกรที่โลดโผนในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง
มีการต่อสู้ดิ้นรนในแววตาของเธอ แต่เธอไม่พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า