เย็นวันนั้นหลังจากเฟิงสิงลังกลับบ้าน ก็รู้สึกได้ว่าตู๋กูยิงดูอารมณ์ไม่ปกติ
สีหน้าที่ดูมืดมนนั้นราวกับว่าในบ้านเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น
ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนก็ไม่อยู่ มีเขาเพียงคนเดียว
ถ้าหากมีเรื่องอะไรที่ทำให้เธอโกรธ นั่นก็คงจะมีแต่เรื่องของตนเองเท่านั้นที่ทำให้เธอโกรธ
ท้ายที่สุดตู๋กูยิงจะไม่ทำให้ตัวเองโกรธขนาดนี้เพราะความผิดพลาดของคนรับใช้
เธอค่อนข้างจะใจกว้างในเรื่องนี้
ปกติแล้วเวลาสาวใช้ทำผิด อย่างมากเธอก็แค่ว่ากล่าวไม่กี่คำ หรือทำโทษและแล้วกันไป และจะไม่ทำหน้าหงิกด้วยเรื่องพวกนี้
เมื่อคิดถึงจุดนี้เฟิงสิงลังจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ในตอนที่เปลี่ยนรองเท้าที่หน้าประตูนั้น ก็คิดทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำไปในวันนี้อีกรอบ
แต่เมื่อคิดไตร่ตรองแล้ว วันนี้ตนก็ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า กลางวันทั้งวันก็อยู่ที่บริษัท ไม่แต่จะโทรศัพท์หาเธอสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเจอเธอ ตามหลักการแล้วจึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะโกรธถึงจะถูก
เมื่อคิดย้อนไปให้ละเอียดอีกนิด
วันนี้ก็ไม่ใช่วันครบรอบแต่งงาน และไม่ใช่วันเกิดใคร และไม่ใช่เทศกาลอะไร
เขาไม่โทรศัพท์ ไม่มีของขวัญ และกลับบ้านตรงเวลา
สรุปแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
ถ้าอย่างนั้นเธอกำลังโกรธเรื่องอะไรกันล่ะ?
เฟิงสิงลังไม่พวกกลัวเมีย อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องเรื่องเดียวเมื่อนานมาแล้ว ทำให้เขามีความรู้สึผิดต่อตู๋กูยิงตลอดมา
ดังนั้นในการใช้ชีวิต เขาจึงไม่ค่อยจะข้องเกี่ยวกับเธอ
ขอเพียงเธอมีความสุข เขาที่ยอมได้ก็ยอมให้
ดังนั้น นานวันเขา บุคคลภายนอกก็มองกลายเป็นว่าประธานเฟิงอยู่นอกบ้านนั้นแสนเก่งฉกาจ แต่ความจริงแล้วกลับกลัวเมีย
เฟิงสิงลังพูดไม่ออกเกี่ยวกับข่าวลือพวกนี้แต่ก็ขี้เกียจจะอธิบาย
กลัวเมียก็กลัวเมียสิ แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องลำบากใจกับเรื่องหยุมหยิม เขาจะได้มีความสงบสุข
เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็เปลี่ยนรองเท้าเสร็จและเดินเข้าไปด้านใน
“เฮ้ นี่มันอะไรกัน? วันนี้มีใครโยนระเบิดใส่บ้านเรางั้นเหรอ? ทำไมโกรธขนาดนี้?”
เขาถอดเสื้อนอกพลางทักทายอย่างร่าเริง
พยายามอย่างหนักที่จะทำลายสถานการณ์ที่อึดอัดและเข้มงวดต่อหน้าเขา
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้รับใช้ที่มีงานยุ่งในบ้านคนไหนกล้าพูดอะไร
รวมถึงตู๋กูยิงที่นั่งอยู่บนโซฟาเองก็เพียงแค่เงยหน้ามองเขา และไม่มองเขาอีกแล้วทำหน้าเหมือนขี้เกียจจะคุยกับเขา
เฟิงสิงลังอึ้งไป
ใฟ้ความรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธกลายๆ แบบนั้น
เขาจนใจเล็กน้อย แต่ตู๋กูยิงก็ยังไม่สนใจเขา เขาก็จนปัญญา
เขาจึงเดินไปที่ห้องอาหารแล้วถามขณะเดินไป: “อาหารเย็นทำอะไรบ้าง?”
สาวใช้ตอบอย่างสุภาพ: “เรียบร้อยแล้วค่ะคุณผู้ชาย”
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว กินข้าวเถอะ”
สาวใช้ตอบรับอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันหลังเข้าครัวไป
หลังจากเฟิงสิงลังสั่งเสร็จแล้ว ก็หันกลับมามองตู๋กูยิงที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟา ด้วยสีหน้าหงุดหงิดอย่างชัดเจน
คิดดูแล้ว สุดท้ายก็เดินกลับไปแล้วดึงแขนเธอ
“นี่ กินข้าวเถอะ”
อย่างไรก็ตามเมื่อมือถูกมือของตู๋กูยิงก็ถูกเธอสะบัดทิ้ง
“อย่าโดนตัวฉัน!”
เฟิงสิงลังอึ้งไป
ถ้าหากจะบอกว่าเมื่อครู่ที่สงสัยว่าเธอจะโกรธตนเองนั้น ตอนนี้ถูกเธอปฏิเสธแบบนี้มันก็ถูกต้องแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะงงเล็กน้อยในขณะที่ขมวดคิ้วและถาม: “วันนี้คุณเป็นอะไร? ผมก็ไม่ได้ไปยั่วโมโหคุณ แล้วคุณโกรธผมเรื่องอะไร?”
อันที่จริงเขาก็น้อยใจอยู่ไม่มากก็น้อย ท้ายที่สุด หลายปีมานี้เขาได้เอาใจใส่ตู๋กูยิงอย่างเต็มที่สำหรับความผิดพลาดของเขา แต่เธอก็ยังปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชา
ต่อให้เป็นคนที่มีความอดทนสูง เจอกับความเย็นชาแบบนี้นานๆ สุดท้ายก็มีถอดใจกันบ้าง
เขาถอนหายใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงได้แค่พูด: “จะโกรธยังไงก็ต้องกินข้าว นอกจากนี้ดูเหมือนวันนี้ผมจะไม่ได้ยั่วโมโหอะไรคุณ แล้วคุณเป็นอะไรอีก?”
ครั้งนี้ตู๋กูยิงเงยหน้าขึ้นมองเขา
เธอมองเขาและเงียบไปหลายวินาทีแล้วจึงพูด “หลายวันนี้ คุณไปไหนมา?”
เฟิงสิงลังนิ่งไป
ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับกับคำถามนี้ของเธอ
แต่ไม่นาน เขาก็ได้สติและพูดความจริง: “ผมก็อยู่ที่บริษัทน่ะสิ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน ทำไมเหรอ?”
ตู๋กูยิงยิ้มเยาะ “คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกฉัน?”
เฟิงสิงลังยิ่งงงเข้าไปอีก “ผมจะหลอกคุณทำไม? จะว่าไปพวกเสี่ยวหลิวก็อยู่กับผมตลอด ที่บริษัทลูกชายคนโตของคุณก็เป็นพยานได้ ผมจะหลอกคุณไปเพื่ออะไร?”
ตู๋กูยิงไตร่ตรองดู นี่มันก็ใช่
เฟิงสิงลังกล้าหลอกเธอ แต่เฟิงเหยี่ยนไม่กล้า
หลายวันมานี้เขาอยู่ที่ไหน ถามเฟิงเหยี่ยนก็ชัดเจนแล้ว
เมื่อคิดแบบนั้น เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
และไม่ทำหน้าเย็นชาแบบนั้นอีก ตาสว่างขึ้นมากแล้วพูดว่า: “เอาล่ะ กินข้าวเถอะ”
พูดจบก็ไปที่ห้องกินข้าว
เฟิงสิงลังเจอพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเธอแบบนี้ก็ไม่เข้าใจเลยว่าเธอเป็นอะไรกันแน่
แต่ในเมื่อเธอยอมกินข้าวแล้ว เช่นนั้นก็พูดได้ว่าไม่ได้โกรธขนาดนั้นแล้ว
เฟิงสิงลังก็ขี้เกียจจะสืบเสาะหาสาเหตุจึงเดินตามไปที่ห้องกินข้าว
หลังกินข้าวเสร็จ ตู๋กูยิงเดินไปที่ระเบียงเพียงลำพัง และโทรหาเฟิงเหยี่ยน
ตอนนี้เฟิงเหยี่ยนไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านแล้ว หลังจากเขากับอานเฉียวแต่งงานกันก็แยกออกไปอาศัยอยู่บ้านของตัวเอง
อานเฉียวยังไม่ได้ถูกพากลับมาที่บ้านอย่างเป็นทางการ ตู๋กูยิงเองก็ไม่รีบร้อน
เธอรู้ว่าลูกชายสองคนของเธอคิดการใหญ่ แม่คนนี้ในสายตาของพวกเขา อย่างมากได้แค่มาสคอตประจำบ้านเท่านั้น
เธอพูดอะไรพวกเขาไม่ฟังหรอก
เมื่อคิดแบบนี้ก็รู้สึกจิตตกไปมาก
แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ในใจเธอไม่เคยคิดที่จะอุ้มลูกชายไว้ในมือไปชั่วชีวิต พวกเขาโตแล้วควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง
เธอไม่ใช่แม่ที่คอยควบคุมลูกชายตลอดเวลาและขี้เกียจจะไปจู้จี้มากมาย
ต่อให้ผู้หญิงที่เฟิงยี่หามาจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงและมีภูมิหลังจะแย่กว่านี้ เธอก็ไม่เห็นด้วยแบบที่เธอทำอยู่ในตอนนี้
ตู๋กูยิงหยิบโทรศัพท์และโทรออก ไม่นานก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหล แม่เหรอครับ?”
ปลายสายเป็นเสียงของเฟิงเหยี่ยนที่ลึกล้ำและมีเสน่ห์
ตู๋กูยิงหายใจลึกและถาม “เหยี่ยนเอ๋อ แม่มีเรื่องจะถาม ลูกจะต้องตอบแม่มาตามตรงนะ”
เฟิงเหยี่ยนนิ่งไปดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย “แม่ มีอะไรครับ?”
“ไม่มีอะไร แม่แค่อยากจะถามว่า หลายวันนี้พ่อของลูกอยู่ที่บริษัทตลอดเลยหรือมีแว่บออกไปไหนบ้างไหม?”
ปลายสายนิ่งไปหลายวินาที
ในไม่ช้า เฟิงเหยี่ยนก็พูดขึ้นด้วยความกังวล “แม่ครับ พวกแม่ทะเลาะกันรึเปล่า?”
ตู๋กูยิงกลอกตาและรำคาญเล็กน้อย “ไม่ได้ทะเลาะ แกจะถามมากไปทำไม? สุดท้ายให้แม่ถามแกหรือแกมาถามแม่กันแน่?”