วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 673 รายงานที่อยู่

เย็นวันนั้นหลังจากเฟิงสิงลังกลับบ้าน ก็รู้สึกได้ว่าตู๋กูยิงดูอารมณ์ไม่ปกติ

สีหน้าที่ดูมืดมนนั้นราวกับว่าในบ้านเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น

ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนก็ไม่อยู่ มีเขาเพียงคนเดียว

ถ้าหากมีเรื่องอะไรที่ทำให้เธอโกรธ นั่นก็คงจะมีแต่เรื่องของตนเองเท่านั้นที่ทำให้เธอโกรธ

ท้ายที่สุดตู๋กูยิงจะไม่ทำให้ตัวเองโกรธขนาดนี้เพราะความผิดพลาดของคนรับใช้

เธอค่อนข้างจะใจกว้างในเรื่องนี้

ปกติแล้วเวลาสาวใช้ทำผิด อย่างมากเธอก็แค่ว่ากล่าวไม่กี่คำ หรือทำโทษและแล้วกันไป และจะไม่ทำหน้าหงิกด้วยเรื่องพวกนี้

เมื่อคิดถึงจุดนี้เฟิงสิงลังจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ในตอนที่เปลี่ยนรองเท้าที่หน้าประตูนั้น ก็คิดทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำไปในวันนี้อีกรอบ

แต่เมื่อคิดไตร่ตรองแล้ว วันนี้ตนก็ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า กลางวันทั้งวันก็อยู่ที่บริษัท ไม่แต่จะโทรศัพท์หาเธอสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเจอเธอ ตามหลักการแล้วจึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะโกรธถึงจะถูก

เมื่อคิดย้อนไปให้ละเอียดอีกนิด

วันนี้ก็ไม่ใช่วันครบรอบแต่งงาน และไม่ใช่วันเกิดใคร และไม่ใช่เทศกาลอะไร

เขาไม่โทรศัพท์ ไม่มีของขวัญ และกลับบ้านตรงเวลา

สรุปแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

ถ้าอย่างนั้นเธอกำลังโกรธเรื่องอะไรกันล่ะ?

เฟิงสิงลังไม่พวกกลัวเมีย อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องเรื่องเดียวเมื่อนานมาแล้ว ทำให้เขามีความรู้สึผิดต่อตู๋กูยิงตลอดมา

ดังนั้นในการใช้ชีวิต เขาจึงไม่ค่อยจะข้องเกี่ยวกับเธอ

ขอเพียงเธอมีความสุข เขาที่ยอมได้ก็ยอมให้

ดังนั้น นานวันเขา บุคคลภายนอกก็มองกลายเป็นว่าประธานเฟิงอยู่นอกบ้านนั้นแสนเก่งฉกาจ แต่ความจริงแล้วกลับกลัวเมีย

เฟิงสิงลังพูดไม่ออกเกี่ยวกับข่าวลือพวกนี้แต่ก็ขี้เกียจจะอธิบาย

กลัวเมียก็กลัวเมียสิ แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องลำบากใจกับเรื่องหยุมหยิม เขาจะได้มีความสงบสุข

เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็เปลี่ยนรองเท้าเสร็จและเดินเข้าไปด้านใน

“เฮ้ นี่มันอะไรกัน? วันนี้มีใครโยนระเบิดใส่บ้านเรางั้นเหรอ? ทำไมโกรธขนาดนี้?”

เขาถอดเสื้อนอกพลางทักทายอย่างร่าเริง

พยายามอย่างหนักที่จะทำลายสถานการณ์ที่อึดอัดและเข้มงวดต่อหน้าเขา

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้รับใช้ที่มีงานยุ่งในบ้านคนไหนกล้าพูดอะไร

รวมถึงตู๋กูยิงที่นั่งอยู่บนโซฟาเองก็เพียงแค่เงยหน้ามองเขา และไม่มองเขาอีกแล้วทำหน้าเหมือนขี้เกียจจะคุยกับเขา

เฟิงสิงลังอึ้งไป

ใฟ้ความรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธกลายๆ แบบนั้น

เขาจนใจเล็กน้อย แต่ตู๋กูยิงก็ยังไม่สนใจเขา เขาก็จนปัญญา

เขาจึงเดินไปที่ห้องอาหารแล้วถามขณะเดินไป: “อาหารเย็นทำอะไรบ้าง?”

สาวใช้ตอบอย่างสุภาพ: “เรียบร้อยแล้วค่ะคุณผู้ชาย”

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว กินข้าวเถอะ”

สาวใช้ตอบรับอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันหลังเข้าครัวไป

หลังจากเฟิงสิงลังสั่งเสร็จแล้ว ก็หันกลับมามองตู๋กูยิงที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟา ด้วยสีหน้าหงุดหงิดอย่างชัดเจน

คิดดูแล้ว สุดท้ายก็เดินกลับไปแล้วดึงแขนเธอ

“นี่ กินข้าวเถอะ”

อย่างไรก็ตามเมื่อมือถูกมือของตู๋กูยิงก็ถูกเธอสะบัดทิ้ง

“อย่าโดนตัวฉัน!”

เฟิงสิงลังอึ้งไป

ถ้าหากจะบอกว่าเมื่อครู่ที่สงสัยว่าเธอจะโกรธตนเองนั้น ตอนนี้ถูกเธอปฏิเสธแบบนี้มันก็ถูกต้องแล้ว

เขาอดไม่ได้ที่จะงงเล็กน้อยในขณะที่ขมวดคิ้วและถาม: “วันนี้คุณเป็นอะไร? ผมก็ไม่ได้ไปยั่วโมโหคุณ แล้วคุณโกรธผมเรื่องอะไร?”

อันที่จริงเขาก็น้อยใจอยู่ไม่มากก็น้อย ท้ายที่สุด หลายปีมานี้เขาได้เอาใจใส่ตู๋กูยิงอย่างเต็มที่สำหรับความผิดพลาดของเขา แต่เธอก็ยังปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชา

ต่อให้เป็นคนที่มีความอดทนสูง เจอกับความเย็นชาแบบนี้นานๆ สุดท้ายก็มีถอดใจกันบ้าง

เขาถอนหายใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงได้แค่พูด: “จะโกรธยังไงก็ต้องกินข้าว นอกจากนี้ดูเหมือนวันนี้ผมจะไม่ได้ยั่วโมโหอะไรคุณ แล้วคุณเป็นอะไรอีก?”

ครั้งนี้ตู๋กูยิงเงยหน้าขึ้นมองเขา

เธอมองเขาและเงียบไปหลายวินาทีแล้วจึงพูด “หลายวันนี้ คุณไปไหนมา?”

เฟิงสิงลังนิ่งไป

ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับกับคำถามนี้ของเธอ

แต่ไม่นาน เขาก็ได้สติและพูดความจริง: “ผมก็อยู่ที่บริษัทน่ะสิ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน ทำไมเหรอ?”

ตู๋กูยิงยิ้มเยาะ “คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกฉัน?”

เฟิงสิงลังยิ่งงงเข้าไปอีก “ผมจะหลอกคุณทำไม? จะว่าไปพวกเสี่ยวหลิวก็อยู่กับผมตลอด ที่บริษัทลูกชายคนโตของคุณก็เป็นพยานได้ ผมจะหลอกคุณไปเพื่ออะไร?”

ตู๋กูยิงไตร่ตรองดู นี่มันก็ใช่

เฟิงสิงลังกล้าหลอกเธอ แต่เฟิงเหยี่ยนไม่กล้า

หลายวันมานี้เขาอยู่ที่ไหน ถามเฟิงเหยี่ยนก็ชัดเจนแล้ว

เมื่อคิดแบบนั้น เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาก

และไม่ทำหน้าเย็นชาแบบนั้นอีก ตาสว่างขึ้นมากแล้วพูดว่า: “เอาล่ะ กินข้าวเถอะ”

พูดจบก็ไปที่ห้องกินข้าว

เฟิงสิงลังเจอพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเธอแบบนี้ก็ไม่เข้าใจเลยว่าเธอเป็นอะไรกันแน่

แต่ในเมื่อเธอยอมกินข้าวแล้ว เช่นนั้นก็พูดได้ว่าไม่ได้โกรธขนาดนั้นแล้ว

เฟิงสิงลังก็ขี้เกียจจะสืบเสาะหาสาเหตุจึงเดินตามไปที่ห้องกินข้าว

หลังกินข้าวเสร็จ ตู๋กูยิงเดินไปที่ระเบียงเพียงลำพัง และโทรหาเฟิงเหยี่ยน

ตอนนี้เฟิงเหยี่ยนไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านแล้ว หลังจากเขากับอานเฉียวแต่งงานกันก็แยกออกไปอาศัยอยู่บ้านของตัวเอง

อานเฉียวยังไม่ได้ถูกพากลับมาที่บ้านอย่างเป็นทางการ ตู๋กูยิงเองก็ไม่รีบร้อน

เธอรู้ว่าลูกชายสองคนของเธอคิดการใหญ่ แม่คนนี้ในสายตาของพวกเขา อย่างมากได้แค่มาสคอตประจำบ้านเท่านั้น

เธอพูดอะไรพวกเขาไม่ฟังหรอก

เมื่อคิดแบบนี้ก็รู้สึกจิตตกไปมาก

แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

ในใจเธอไม่เคยคิดที่จะอุ้มลูกชายไว้ในมือไปชั่วชีวิต พวกเขาโตแล้วควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง

เธอไม่ใช่แม่ที่คอยควบคุมลูกชายตลอดเวลาและขี้เกียจจะไปจู้จี้มากมาย

ต่อให้ผู้หญิงที่เฟิงยี่หามาจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงและมีภูมิหลังจะแย่กว่านี้ เธอก็ไม่เห็นด้วยแบบที่เธอทำอยู่ในตอนนี้

ตู๋กูยิงหยิบโทรศัพท์และโทรออก ไม่นานก็มีคนรับสาย

“ฮัลโหล แม่เหรอครับ?”

ปลายสายเป็นเสียงของเฟิงเหยี่ยนที่ลึกล้ำและมีเสน่ห์

ตู๋กูยิงหายใจลึกและถาม “เหยี่ยนเอ๋อ แม่มีเรื่องจะถาม ลูกจะต้องตอบแม่มาตามตรงนะ”

เฟิงเหยี่ยนนิ่งไปดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย “แม่ มีอะไรครับ?”

“ไม่มีอะไร แม่แค่อยากจะถามว่า หลายวันนี้พ่อของลูกอยู่ที่บริษัทตลอดเลยหรือมีแว่บออกไปไหนบ้างไหม?”

ปลายสายนิ่งไปหลายวินาที

ในไม่ช้า เฟิงเหยี่ยนก็พูดขึ้นด้วยความกังวล “แม่ครับ พวกแม่ทะเลาะกันรึเปล่า?”

ตู๋กูยิงกลอกตาและรำคาญเล็กน้อย “ไม่ได้ทะเลาะ แกจะถามมากไปทำไม? สุดท้ายให้แม่ถามแกหรือแกมาถามแม่กันแน่?”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset