ตู๋กูยิงมองเขาแล้วและยิ้มเยาะอยู่ครู่หนึ่ง
“เหรอ? แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณสนใจมันจริงๆ ดังนั้นจึงไม่อยากให้ใครพูดถึงเธอเสียๆ หายๆ ล่ะ?”
เฟิงสิงลังนิ่งไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของเขาดูลำบากใจเล็กน้อยและฝืนยิ้ม
“ยิงยิง ผมคิดกับคุณยังไง คุณยังไม่รู้อีกเหรอ? มันผ่านไปตั้งนานแล้ว ตั้งนานมาแล้วที่ผม…”
“พอเถอะ คุณไม่จำเป็นต้องพูด”
ตู๋กูยิงกลับไม่มีความคิดอยากจะได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป
เธอตัดบทเขาทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็เลิกผ้าห่มและลุกไปจากเตียง
เฟิงสิงลังมองเธอและสับสนเล็กน้อย พอเห็นเธอสวมรองเท้าเดินออกไปข้างนอกจึงรีบถาม: “คุณจะไปไหน?”
“คุณนอนไปคนเดียวเถอะ ฉันจะไปนอนที่ห้องนอนรับรองแขก”
เฟิงสิงลัง: “…”
เป็นไปไม่ได้ที่จะไปนอนที่ห้องนอนรับรองแขก
ยังไงก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้เธอไปนอนที่ห้องรับรองแขก ไม่อย่างนั้นสามีภรรยาแยกห้องนอน จะทำให้คนในบ้านคิดยังไง?
อย่างไรเสียเขารู้จักนิสัยของตู๋กูยิง หลายปีมานี้ต่อให้ทะเลาะกันยังไง ก็ไม่เคยพูดว่าจะไปนอนที่ห้องรับรองแขก
คิดว่าครั้งนี้จะต้องใส่ใจมาก
เมื่อคิดแบบนี้ เขาจึงลุกจากเตียงแล้วลากเธอกลับมา
“เอาล่ะ ยิงยิง เราอย่าทะเลาะกันเลยนะดีไหม? คุณก็รู้ว่าเรื่องของผมกับซูหว่านมันเป็นเรื่องตั้งหลายปีดีดักแล้ว ตอนนั้นยังเด็กยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นเราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ และเธอก็เป็นน้องสาวคุณ ดังนั้นผมก็ต้องดูแลเธอเป็นพิเศษ นั่นก็ทำเพื่อให้เกียรติคุณไม่ใช่เหรอ?”
หลายปีผ่านไป เฟิงสิงลังเข้าใจคำขู่เบาๆ ของภรรยาของเขาอย่างชัดเจน
รู้ว่าเธอเป็นคนใจอ่อน ดังนั้นจึงพยายามที่จะพูดไปแบบนั้น
อย่างไรเสีย ตู๋กูยิงก็ผ่านการเรียนรู้อะไรมากในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่หญิงสาวใสซื่อเหมือนตอนนั้น จะถูกเขาหลอกง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?
เธอมองเฟิงสิงลังครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเย็นๆ ออกมา
แล้วถามลองเชิง: “แล้วถ้าฉันบอกคุณว่า ซูหว่านยังไม่ตายล่ะ?”
เฟิงสิงลังตกใจ
จากนั้นก็โบกมือ
“เป็นไปไม่ได้หรอกๆ เรื่องตลกนี้ไม่ตลกเลยสักนิด ที่รัก พวกเราไม่พูดเล่นเรื่องนี้กันดีไหม หือ”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น”
ตู๋กูยิงยืนมือออกไปแกะมือของเฟิงสิงลังที่พยุงเธอให้นอนลง แล้วมองตรงไปที่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงและเคร่งขรึมว่า: “ฉันเจอเธอแล้ว เมื่อสองวันก่อน ดังนั้นฉันบอกคุณได้อย่างมั่นใจเลยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แถมเธออยู่ในเมืองหลวงด้วย”
เฟิงสิงลังอึ้งไปเลย
ราวกับตกตะลึงจนตัวแข็ง
เขามองตู๋กูยิง ผ่านไปนานจึงได้เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง เธอไม่ได้โกหก
และไม่ได้พูดเล่น เธอเจอซูหว่านแล้วจริงๆ
และซูหว่านก็ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
เขาเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาชี้ไปที่ข่าวในโทรศัพท์แล้วพูดว่า: “งั้นจะบอกว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? คนคนนั้นที่พวกเขาเจอ เป็นไปได้ว่าจะเป็นซูหว่านงั้นเหรอ?”
ตู๋กูยิงมองเขาที่ตื่นเต้น และยังดูเหมือนรู้สึกโชคดีในตอนแรกและจมหายไปแบบนั้น
เธอพูดอย่างเย็นชา: “ใช่ เป็นความจริง ยินดีกับคุณด้วยนะ รักแท้ของคุณกลับมาแล้ว”
“ผม…” เฟิงสิงลังอึ้งไปในทันที เขาเปิดปากอยากจะอธิบายแต่คำพูดก็ติดอยู่ที่ริมฝีปากและกลืนมันกลับไป
สักพักจึงพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “ยิงยิง ไม่คุณจะคิดยังไง แต่ผมไม่ได้มีความคิดแบบที่คุณกำลังเข้าใจผิดอยู่เลย ผมรู้ว่ามันมีเรื่องเข้าใจผิดหลายอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ผมก็ยังหวังว่าคุณจะเชื่อผม เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีขนาดนี้ ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดอีกแล้ว อย่างน้อยผมก็หวังว่าคุณยังจะไว้ใจผมบ้าง”
หลังจากพูดจบเขาก็ไม่พูดอะไรอีก
ตู๋กูยิงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้ายังคงเคร่งขรึม แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ดูแย่เหมือนก่อนหน้านี้
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอเดินกลับมาและนั่งลงที่ข้างเตียงและมองดูเขา
“งั้นตอนนี้คุณวางแผนไว้ว่าจะทำยังไง?”
เธอยอมนั่งลง ถึงแม้เฟิงสิงลังจะแสดงออกว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ความจริงแล้วในใจก็แอบดีใจ
ท้ายที่สุดตู๋กูยิงแอบงอแงเกี่ยวกับเรื่องของซูหว่านกับเขาหลายครั้งเกินไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เรื่องนี้เหมือนเป็นหนามยอกอกระหว่างพวกเขาทั้งคู่
ทุกครั้งที่เธอแทงเขาด้วยหนามเล่มนั้น ก็เหมือนกับทิ่มแทงตัวเองอยู่ด้วยเช่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฟิงสิงลังก็อดไม่ได้ที่จะสับสนอยู่ในใจอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาถอนหายใจและพูด: “ผมไม่มีแผนอะไร ไม่ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว มันก็ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับผม ในใจผมมีแค่คุณ ส่วนเธอถึงจะรู้สึกเหมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกัน แต่มิตรภาพนี้มันได้ถูกตัดขาดไปแล้วเมื่อยี่สิบหกปีก่อน”
“วันนี้ที่ยังเข้าข้างเธอ เป็นห่วงเธอ ก็เพียงเพราะเธอเป็นน้องสาวของคุณ แต่หากนี่ทำให้คุณไม่สบายใจ งั้นผมก็จะไม่ใส่ใจอีก”
ตู๋ก็ยิงขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อได้ยินเขาพูดอย่างจริงใจ
“คุณพูดจริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ!”
เฟิงสิงลังยกนิ้วขึ้น “ไม่เชื่อสาบานก็ได้”
ด้วยคำพูดนั้น ราวกับว่าเขากำลังจะสาบานจริงๆ เปลือกตาของตู๋กูยิงก็กระตุก และตบมือของเขาลงอย่างรวดเร็ว
“พอแล้วๆ พูดเก่งจริงๆ เลยเชียว ใครอยากจะฟังคุณสาบานกัน?”
แม้ปากเธอจะพูดว่าที่น่ารังเกียจ แต่ก็เต็มไปด้วยความกังวลอยู่ในใจ
เฟิงสิงลังจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นคนปากแข็ง? ดังนั้นอารมณ์ที่มืดมนในตอนแรกก็ชัดเจนขึ้น
เขาพยุงแขนของตู๋กูยิงแล้วพูด: “เอาล่ะ ตอนนี้ในเมื่อคุยกันกระจ่างแล้ว นี่ก็ดึกแล้ว เราควรจะพักผ่อนได้แล้วดีไหม?”
ตู๋กูยิงมองเขา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรและพยักหน้า
วันต่อมา
ข่าวบนอินเทอร์เน็ตเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่ามาถึงจุดที่ไม่อาจละเลยได้
คำสั่งของเฟิงสิงลังเมื่อคืนนี้ดูเหมือนจะไม่มีผล
หรืออาจจะพูดได้ว่ามีผลไปแล้วแต่ไม่สามารถจะสกัดกั้นกลุ่มคนที่โพสต์ต่อจากนั้นอย่างเอาเป็นเอาตายได้
ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่ที่ชอบซูหว่านในตอนนั้นได้กลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมไปแล้วในตอนนี้
ข่าวคราวแบบนี้เมื่อมันกระจายออกไป นอกจากจะมีคนยอมจ่ายเงินจำนวนมากในการลบข่าวออกไปให้หมดจากอินเทอร์เน็ตแล้ว
มิเช่นนั้นจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบร่องรอยเลย
แต่เมื่อคืนเฟิงสิงลังก็ไม่ได้สั่งไปแบบนั้น ดังนั้นผู้ช่วยเองก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ
จนถึงวันนี้เมื่อเห็นข่าวที่ยิ่งร้อนแรงขึ้นในอินเทอร์เน็ตแล้ว ดูแล้วคงจะไม่สามารถให้ใครไปปิดข่าวเรื่องนี้ได้แล้ว
ในห้องทำงาน ผู้ช่วยของเขาก้มหน้าและยืนอยู่ที่นั่นด้วยความรู้สึกผิด และกระซิบกับเฟิงสิงลัง: “ขอโทษครับท่านประธาน เพราะเมื่อคืนนี้มันดึกมากและงบที่ใช้กลบข่าวนี้ก็มากเกินไป ผมไม่กล้าจะใช้งบเยอะขนาดนั้นโดยพลการ ดังนั้นจึงไม่สามารถปิดข่าวนั้นได้ทันเวลา โปรดยกโทษให้ผมด้วย”
เฟิงสิงลังมองเขาและขมวดคิ้ว
ผ่านไปครู่หนึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้โทษเขา ได้แต่ถอนหายใจแล้วพูด: “ช่างเถอะ ในเมื่อไม่ได้ปิดมันก็ช่างมัน บางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตา”