ในเมื่อปัจจุบันเฟิงสิงลังตื่นขึ้นมาแล้ว เรื่องเหล่านี้ให้เขาเป็นคนจัดการเองจะเหมาะสมกว่า
หลังจากเฟิงสิงลังอ่านเอกสารเหล่านี้เสร็จ ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
ถึงแม้เขาจะเป็นถึงท่านประธานของเฟิงซื่อกรุ๊ป ผู้ถืออำนาจของตระกูลเฟิงซึ่งเป็นหนึ่งในสี่วงศ์ตระกูลใหญ่ก็ตาม แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ เรื่องของบริษัทส่วนใหญ่ก็ส่งต่อให้เฟิงเหยี่ยนจัดการแล้ว
สำหรับภายในของตระกูล ท่านปู่เฟิงยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะอยู่ภาคใต้ แต่มีหลายครั้งเขายังคงจะขอความเห็นจากท่านปู่เพื่อแสดงความเคารพนับถือต่อท่าน
เพราะฉะนั้นถ้ามีคนอยากจะทำร้ายเขาเพื่อผลประโยชน์ มันก็ไม่น่าจะใช่
เฟิงเหยี่ยนเห็นแล้วได้แต่สั่งกำลังคนเพิ่มไปสืบต่อ
ส่วนก่อนหน้านี้คือโอนย้ายเฟิงสิงลังไปที่โรงพยาบาลซึ่งปี่เฉียว จัดหาบอดี้การ์ดวิชาชีพมาปกป้องดูแล
ถึงแม้ตระกูลเฟิงไม่ได้อยากเปิดเผยเรื่องนี้ก็ตาม แต่คนอยู่ในเมืองหลวง และยังเกิดเรื่องตอนกลางวันด้วย ยังคงมีหลายคนที่ตาดีหูดีได้รับข่าว
ไม่เว้นแต่ทั้งตระกูลลู่ ตระกูลกวนกับตระกูลกู้
ทั้งสามตระกูลล้วนส่งคนมาเยี่ยมแล้ว เฟิงสิงลังสามารถปฏิเสธคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถปฏิเสธคนเหล่านี้ได้
ดังนั้นจึงได้พบปะกันสักหน่อย
ตระกูลกู้กับตระกูลเฟิงเดิมไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่อยู่แล้ว ส่งคนมาก็แค่มาเป็นพิธีเฉยๆ
ไม่แน่ยังถือโอกาสสืบข่าวอะไรบ้าง ดูว่าเฟิงสิงลังไม่ได้เป็นอะไรหนักอย่างที่พวกเขาพูดจริงหรือไม่
หลังจากเยี่ยมเสร็จก็กลับไปแล้ว
แต่ตระกูลกวนและตระกูลลู่ไม่เหมือนกัน
ตระกูลลู่เนื่องจากลู่จิ่งเซินกับเฟิงยี่สนิทกัน ฉะนั้นความสัมพันธ์ของสองตระกูลก็ถือว่าดี ส่วนตระกูลกวนเป็นเพราะว่ามีผู้ชายในรุ่นของท่านปู่นั้นเกี่ยวดองกับตระกูลเฟิง ถึงแม้จะเป็นหลายรุ่นก่อนแล้ว แต่ความสัมพันธ์เป็นญาติกันก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าด้านความสัมพันธ์หรือด้านเหตุผล ก็จะเอาใจใส่มากกว่าอยู่แล้ว
ขณะนี้ กวนจี้หมิงกำลังนั่งอยู่ในห้องผู้ป่วย ดูเฟิงสิงลังที่นอนอยู่บนเตียง สายตาเผยความกังวลออกมา
“พี่สองเฟิง ผมว่าเหตุการณ์รถชนครั้งนี้ไม่เหมือนอุบัติเหตุเลย แน่ใจไหมว่าสืบสาเหตุไม่ได้”
เฟิงสิงลังส่ายหัว
“สืบมาหมดแล้ว บอกว่าคนขับคนนั้นตอนเช้าได้ดื่มสุรา หลังดื่มสุราขับรถจนไม่สามารถควบคุมได้ เพราะฉะนั้นจึงชนโดนรถของผม ไม่ว่ากล้องวงจรปิดหรือการสืบสวนสำหรับส่วนตัวเขาแล้วก็เป็นอย่างนี้ หาข้อบกพร่องอื่นไม่เจอเลยจริงๆ”
กวนจี้หมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มีใครที่ไหนดื่มสุราตั้งแต่เช้า นี่มันแปลกมากเลยไม่ใช่เหรอ”
เฟิงสิงลังยิ้มพูดว่า : “อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาก็เป็นไปได้ ใครจะไปรู้ สรุปแล้ว ผมนี่ถือว่าดวงดีโชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้ รู้จักพอใจมากแล้ว ฉะนั้นก็ไม่เอาเรื่องอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว”
กวนจี้หมิงสังเกตได้ว่าเขาไม่อยากคุยเรื่องนี้ลึกเข้าไปอีก ดังนั้นก็ปิดปากอย่างรู้ตัว
หลังจากนั่งได้อีกสักพัก จนถึงเวลาทานข้าว ผู้ให้การรักษาพยาบาลยกอาหารเย็นของเฟิงสิงลังเข้ามา
กวนจี้หมิงจึงจะทักทายกับเขา ลุกขึ้นจากไป
ตอนออกมาเจอลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงตรงหน้าประตู
“คุณน้าก็มาเหรอ!”
จิ่งหนิงยิ้มทักทายกับเขา กวนจี้หมิงยื่นมือแกล้งจิ้งเจ๋อน้อยที่เธออุ้มอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นจึงยิ้มพูดว่า: “ใช่แล้ว มาเยี่ยมสักหน่อย พวกเธอรอครู่หนึ่งค่อยขึ้นไปเถอะ! ตอนนี้เขากำลังกินข้าวอยู่ น่าจะไม่สะดวก”
จิ่งหนิงพยักหน้า
กวนจี้หมิงพูดต่อว่า: “ช่วงนี้ยุ่งไหม ถ้าว่างก็กลับมาเยี่ยมหน่อย น้าสะใภ้เธอบ่นอยากเจอเธอตลอดเลย”
จิ่งหนิงยิ้ม “ตอนนี้อยู่เมืองหลวง ถ้าคิดถึงฉันแล้วก็ให้น้าสะใภ้มาเที่ยวบ้านฉันเลย ช่วยเลี้ยงลูกให้ฉันพอดีเลย”
กวนจี้หมิงหัวเราะออกเสียง “ได้ เดี๋ยวฉันบอกเธอ”
ยังไงเวลาก็ไม่เช้าแล้ว กวนจี้หมิงยังมีเรื่องอื่นต้องทำ ฉะนั้นสามคนแค่ทักทายกันไม่กี่ประโยคก็แยกกันแล้ว
เมื่อจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินมาถึงห้องผู้ป่วย เฟิงสิงลังกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เฟิงยี่พอเลิกงานปุ๊บก็มาอยู่เป็นเพื่อนเขาแล้ว เนื่องจากขึ้นมาจากประตูหลัง ดังนั้นจึงไม่ได้เจอพวกเขา
เห็นพวกเขาเข้ามา เฟิงยี่ยิ้มลุกขึ้นมา “พี่สอง พี่สะใภ้สองพวกเธอมาแล้วเหรอ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าแรง ยื่นของที่ถือไว้ให้เขา จากนั้นจึงพาจิ่งหนิงเดินไปข้างๆ ห้องผู้ป่วย
“อาเฟิง ร่างกายเป็นยังไงบ้าง”
เฟิงสิงลังยิ้มพูดอย่างอ่อนโยนว่า : “ก็ดีอยู่ จริงๆ แล้วไม่ค่อยมีปัญหาใหญ่อะไร ก็แค่น้าตู๋กูพวกเธอชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว วุ่นวายจนพวกเธอมาเยี่ยมฉันหมด เกรงใจจริงๆ เลย”
ลู่จิ่งเซินยิ้ม “ร่างกายสำคัญกว่า พวกเราก็แค่เดินทางครั้งหนึ่งเฉยๆ ไม่มีอะไรต้องเกรงใจหรอก”
จิ่งหนิงก็คล้อยตาม “ใช่แล้วๆ ได้ข่าวว่าอุบัติเหตุรถชนครั้งนี้หนักมากเลยนะ ตอนที่เราได้ยินต่างตกใจกันมากเลย”
“ทำให้พวกเธอต้องเป็นห่วงแล้ว”
ทักทายพูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค ในที่สุดก็พูดถึงประเด็นสำคัญ
ลู่จิ่งเซินก็ได้ถามเฟิงสิงลังเรื่องเกี่ยวกับผู้ร้ายเหมือนกัน เฟิงสิงลังยังคงเป็นคำกล่าวอ้างเหล่านั้น
ลู่จิ่งเซินเห็นแล้วจึงไม่ได้ถามลึกเหมือนกัน
แค่ตอนที่จะไปกำชับให้เฟิงยี่กี่ประโยค
เตือนเขาช่วงนี้ต้องระวังความปลอดภัยชีวิตของเฟิงสิงลังให้ดี เรื่องนี้ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
เฟิงสิงลังยิ่งหาข้ออ้างใส่ให้พวกเขา ก็ยิ่งแสดงว่าความจริงเขาน่าจะรู้ว่าคนร้ายเป็นใครตั้งนานแล้ว แค่ไม่ยอมบอกเท่านั้นเอง
เขาไม่ยอมบอก คนอื่นก็มิอาจยุ่งได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้สืบสาวราวเรื่องแล้ว ยังไงก็ต้องพึ่งคนตระกูลเฟิงระมัดระวังเอง
หลังจากเฟิงยี่ฟังจบก็พยักหน้า
เขาเห็นด้วยกับคำพูดของลู่จิ่งเซินมาตลอด ดังนั้นทันทีก็บอกเรื่องนี้ให้กับเฟิงเหยี่ยนแล้ว
คำตอบที่ลู่จิ่งเซินสามารถเดาออกได้ ไม่มีทางที่เฟิงเหยี่ยนจะเดาไม่ออก
ดังนั้น ก่อนที่เฟิงยี่ยังไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาก็จัดบอดี้การ์ดจำนวนมากคอยปกป้องอยู่รอบๆ โรงพยาบาลแล้ว แค่มีคนที่น่าสงสัยปรากฏตัว ก็สามารถสังเกตได้อย่างแน่นอน
ฝั่งนี้บรรยากาศเคร่งขรึม ส่วนอีกฝั่ง ซูหว่านก็สับสนมากเหมือนกัน
สิ่งที่ควรบอกตู๋กูยิงเธอก็พูดออกมาหมดแล้ว ส่วนเฟิงสิงลังเธอก็เห็นแล้ว
ตามความเป็นจริง จนถึงตอนนี้เธอไม่น่าจะเสียดายอะไรอีกแล้ว
แต่ไม่รู้ทำไม ในใจของเธอแอบรู้สึกกังวลใจอะไรอย่างหนึ่งอยู่ตลอด
รู้สึกตลอดเลยว่าเหมือนตัวเองลืมอะไรสักอย่างก็ไม่รู้
ดังนั้นเธอนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไร้วิญญาณอยู่ทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เวินเหวินจวินเห็นเธอแบบนี้ รู้สึกได้แต่หัวใจถูกมีดบาด
มีวันหนึ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไว้แล้ว ขึ้นไปถามเธอ: “หว่านหว่าน เราไปจากที่นี่ดีไหม กลับไปประเทศR”
ซูหว่านมองเธอ สายที่มัวหมองตอนแรกในที่สุดก็มีความยาวโฟกัสแล้ว
เธอส่ายหัว “ฉันไม่กลับ”
“ทำไม”
ซูหว่านก็คิดอยู่เหมือนกัน ใช่สิ ทำไมเหรอ
ทำไมจริงๆ แล้วเรื่องทุกอย่างที่ควรทำล้วนสำเร็จแล้ว แต่ตัวเองกลับยังไม่อยากไปจากที่นี่อีกล่ะ
จู่ๆ เธอคิดคำตอบขึ้นมาได้
ใช่แล้ว! ก็คือเหตุผลนั้น
เธอเห็นเวินเหวินจวิน ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าใครอย่างหนึ่งขอร้องว่า: “พี่เวิน รบกวนคุณพาฉันไปหาพี่สาวของฉันอีกครั้ง ได้ไหม”
เวินเหวินจวินตะลึง สีหน้ามืดลงมาทันที
“คุณยังคิดถึงเธออยู่เหรอ”
เขาเหมือนกับคาดคิดไม่ถึงอย่างนั้น ที่มากกว่านั้นกลับคือโมโหที่เธอไม่สู้
“ตกลงคุณยังจะกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ายถึงเมื่อไหร่กันแน่ ในใจเธอไม่มีคุณเลยสักนิด ยิ่งกว่านั้นยังเกลียดคุณจนหมดเปลือกคุณดูไม่ออกหรือไง ความลบหลู่ดูหมิ่นที่คุณได้รับครั้งก่อนก็แสดงออกมาทุกอย่างแล้ว ทำไมยังจะไปหาความอับอายเข้าตัวเองอีกล่ะ”
ซูหว่านนั่งงงงันอยู่ตรงนั้นอย่างตะลึง สายตาที่มองเขาเหมือนกับเด็กน่าสงสารคนหนึ่งที่สับสนอยู่