จะเอาหนูน้อยและแมลงสาบที่ทำให้คนตกใจใส่เข้าไปในกล่องของเธอ จะฉีกสมุดแบบฝึกหัดที่เธอเพิ่งเขียนเสร็จทิ้ง จากนั้นดูหน้าตาน่าสงสารของเธอและหัวเราะเยาะเย้ย
และที่เกินไปกว่านั้นคือเนื่องจากอายุของเธอน้อยเกินไปแล้ว เด็กผู้ชายที่โตหน่อยเริ่มเจริญเติบโต มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องชายหญิงแล้ว เห็นเธอหน้าตาสวย และยังตัวเล็กเชื่อฟัง ไม่ชอบพูด
ดังนั้นแต่ละคนล้วนคิดไม่ซื่อกับเธอ
แน่นอนพวกเขาไม่กล้าทำเรื่องที่เกินไปมาก ถึงอย่างไรถ้าถูกคณบดีเจอ ต้องถูกลงโทษแน่นอน
แต่พวกเขาจะบังคับให้เธอถอดเสื้อ บีบตัวเธอไปมา แล้วยังถูสิ่งที่เป็นสีขาวๆ อันทุเรศสุดๆ บนตัวเธออีกด้วย
ซูหว่านตัวน้อยที่ยังไม่ถึงสิบขวบ ก็ผ่านเรื่องที่ทุเรศที่สุด ทรมานที่สุด มืดมนที่สุดบนโลกนี้มาแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อคนของตระกูลตู๋กูมาถึงศูนย์เด็กกำพร้า มีแผนรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง และได้เลือกเธอที่ผอมบางที่สุด ดูไม่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางฝูงเด็กในลานแห่งหนึ่ง
เธอคาดคิดไม่ถึงเลย หลังจากคาดคิดไม่ถึงก็คือเคลิบเคลิ้ม
ในที่สุดเธอก็ได้ไปจากที่นี่แล้ว ในที่สุดก็ได้พ้นจากการควบคุมของปีศาจพวกนั้น สามารถมีชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอเองแล้ว
ดังนั้นเธอไปกับคนของตระกูลตู๋กูโดยที่ไม่ลังเลเลย
ความเป็นจริงพิสูจน์ได้ ชีวิตหลังจากนั้นก็ใช้ได้ดีมากจริงๆ
ตอนที่เพิ่งมาถึงบ้าน เธอไม่เคยชิน ระมัดระวังมาก และยังกลัวมากอีกด้วย
กลัวพวกเขาไม่ชอบตัวเอง กลัวพวกเขาทอดทิ้งตัวเองอีกครั้ง
ดังนั้นเธอไม่ค่อยกล้าพูดเท่าไหร่ และไม่ค่อยกล้ากินข้าวเยอะเหมือนกัน แม้กระทั่งพูดยังไม่กล้าพูดเสียงดัง
หลังๆ มา ภายใต้การเลี้ยงดูและปลอบใจไกล่เกลี่ยทีละนิดทีละหน่อยอย่างใจเย็นของคุณแม่ ในที่สุดเธอก็กล้าพูดดังๆ และก็กล้าเผยรอยยิ้มที่ดีใจออกมาแล้ว
เธอเติบโตขึ้นทุกๆ วัน ผิวเริ่มขาว คนก็เริ่มสูงขึ้น พัฒนาได้งดงามมาก มีความสามารถพิเศษอย่างกว้างขวาง
ขณะนี้ เธอก็มีคนมาจีบแล้ว ในสายตาทุกคน เธอไม่ใช่ลูกเป็ดขี้เหร่ที่ไม่สะดุดตาคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหงส์ขาวที่สวยงามตัวหนึ่ง
แต่ว่าบนโลกใบนี้ มักมีความเป็นอยู่ที่ไม่ยุติธรรมพอมาตลอด
ใครจะรู้ ในปีเหล่านั้นเธอพยายามแค่ไหนถึงฝึกให้ตัวเองมีหน้าตาสง่างาม สดใสมั่นใจแบบนั้น
แต่ในบ้านหลังนั้น ไม่ว่าเธอทำได้ดีแค่ไหน แต่ก็มีคนคนหนึ่งกดอยู่บนหัวเธอตลอด
คนคนนั้นก็คือตู๋กูยิง
เธอช่างสวย ช่างโดดเด่น เธอไม่อ่อนโยนพอ แต่ก็มีหลายๆ คนชอบเธอ คิดว่าเธออารมณ์ร้ายปากจัดและตรงไปตรงมา
เธอไม่ได้มีความสามารถครบทุกด้าน แต่ทุกคนกลับคิดว่าไม่เป็นไร ยังไงเธอก็ฉลาดมาก อนาคตถ้ารับช่วงกิจการของครอบครัว ยังคงยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นๆ
ยิ่งกว่านั้นเธอชอบเงยหัวสูงมองคนอื่นตลอด สายตาที่ส่งออกไป มีความดูถูกอย่างเย้ยหยัน
แต่ไม่มีสักคนจะว่าเธอไม่สมควร ทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
เธอยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งสะท้อนซูหว่านที่ยืนอยู่ข้างๆ มองคนอื่นอย่างเอาอกเอาใจดูขี้ขลาดขี้อายกว่าใคร
ก็เหมือนกับหงส์ขาวที่ไม่ว่าสวยแค่ไหน เมื่อยืนอยู่กับนกฟีนิกซ์ที่งดงามสะดุดตา ก็ล้วนไร้สีสันอยู่ดี
เริ่มตั้งแต่ตอนนั้นมา เธอก็เข้าใจแล้วว่าเธอสู้ตู๋กูยิงไม่ได้
ถึงแม้เธอพยายามสุดชีวิต ก็ไม่สามารถถึงจุดสูงที่เธออยู่
ดังนั้นเธอยอมแพ้แล้ว เธอไม่ไปตามหาและไม่อยากไปเปรียบเทียบ จนถึงคนคนนั้นปรากฏตัว
นั่นคือแสงสว่างทั้งชีวิตของเธอจริงๆ เลย! กว่าเธอจะหาแสงดวงหนึ่งเจอได้ แล้วยังจะยอมเสียไปแบบนั้นได้ยังไงล่ะ
พี่สาวคนนั้นที่เยี่ยมยอดกว่าเธอทุกสิ่งทุกอย่าง ได้สิ่งต่างๆ บนโลกนี้ไปตั้งมากมายแล้ว ทำไมแค่สิ่งนี้สิ่งเดียวยังจะแย่งกับเธออีก
ซูหว่านในเมื่อก่อนไม่เข้าใจเลยจริงๆ
หลังๆ มา เหมือนค่อยๆ เข้าใจบางอย่างได้บ้างแล้ว แต่เธอรู้ว่าพอทำผิดแล้วก็มิอาจหวนกลับคืนได้ตลอดไปแล้ว
ความคิดของเธอลอยไปไกลมาก ไกลจนเหมือนกับผ่านชีวิตของตัวเองใหม่อีกหนึ่งรอบในชั่วขณะ
ความดีใจ ความเสียใจ ความโศกเศร้า ความโชคดีเหล่านั้น…แต่ละฉากล้วนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าดั่งภาพฉากในภาพยนตร์
จนถึงตอนนี้ เธอเพิ่งได้สังเกต
จริงๆ แล้วมันผ่านไปนานขนาดนั้นแล้วโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างคาดไม่ถึงเลย
เรื่องเหล่านั้นที่คล้อยห่างและนานจนเหมือนกับผ่านมาเมื่อชาติที่แล้ว ตอนแรกยังนึกว่าลืมได้ตั้งนานแล้ว
แต่ความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอไม่เคยลืม ตรงกันข้ามยังใหม่เหมือนเดิมโดยผ่านการตกตะกอนแห่งกาลเวลา แค่ถูกเธอทิ้งขว้างในมุมที่ไม่สะดุดตานั้นไม่ยอมเห็นเท่านั้นเอง
ซูหว่านเงียบลงมา
ตู๋กูยิงมองเธอจากด้านบนอย่างดูถูก สายตาสงบนิ่งเฉยเมย “แกพูดถึงความไม่เป็นทำของตัวเองอย่างเดียวซ้ำๆ แต่แกลืมแล้ว ทุกอย่างนี้ไม่ได้เป็นของแกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้ววันนี้มาบอกฉันว่าเธอผิดไปแล้ว ขอให้ฉันยกโทษให้ แกลองบอกสิ ฉันควรให้อภัยต่อหน้ากับแกแบบนี้ยังไง”
ซูหว่านอึ้งอย่างแรง
ในใจเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกทุบทิ้งเบาๆ อย่างไร้เสียง แต่กลับเจ็บใจสุดๆ
เนิ่นนาน เธอจึงดันตัวเองลุกขึ้นมาอย่างลำบาก
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอก้มหน้าพูด ยกมือเช็ดรอยน้ำตาหนึ่งหยอดตรงขอบตา
แม้ตัวจะอยู่ในสถานการณ์พะอืดพะอมและเสียหน้าแค่ไหน บนตัวเธอเหมือนยังคงเก็บความสง่าอันสูงส่งอย่างหนึ่งไว้อยู่
“พี่สาววางใจได้เลย วันหลัง…ฉันจะไม่มารบกวนเธออีกแล้ว”
เธอยิ้มอย่างจำใจ เหมือนจะเป็นเยาะเย้ยตัวเอง แต่ข้างในก็แอบแฝงความโศกเศร้าไว้อย่างหนึ่ง
“ถ้าไม่มีเรื่องอื่น ฉันขอไปก่อนแล้วนะ”
พูดไปด้วยพร้อมกับก้มหน้าจะออกไปด้วย
ตู๋กูยิงขมวดคิ้วอันสวยยาวดั่งใบหลิว จู่ๆ ก็อ้าปากพูด: “รอก่อน!”
ก้าวเท้าของซูหว่านหยุด
ก็เห็นตู๋กูยิงก้าวเท้าเดินไปทางห้องนอน ไม่นาน ในมือก็ถือบางอย่างเดินออกมา
เห็นแต่นั่นคือซองเอกสารหนาๆ ในซองเต็มไปด้วยซองจดหมายสีต่างๆ !
ซูหว่านสีหน้าขาวซีด
ตู๋กูยิงโยนซองไปในมือของเธอ พูดอย่างเฉยชาว่า: “ของพวกนี้แกเอาด้วยเลย!”
นิ้วมือซูหว่านแอบสั่นเล็กน้อย เปิดซองออกมาดูซองจดหมาย เห็นว่ายังปิดอยู่ทั้งหมด ไม่เคยถูกแกะออกเลย
เธอเงยหัวขึ้นมา มองไปที่ตู๋กูยิงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทั้งหมดนี้เธอไม่เคยอ่านเลยเหรอ”
ตู๋กูยิงไขว้แขนยืนอยู่ตรงนั้น บนหน้ายังคงเป็นสีหน้าเย็นชาเยาะเย้ยแบบนั้นอยู่ “ฉันเคยบอกแล้ว คนที่เคยหักหลังฉัน ทั้งชีวิตนี้ฉันจะไม่เชื่อใจอีก จดหมายที่แกส่งมาหลายปีที่ผ่านมาอยู่ตรงนี้ทั้งหมด ฉันจะไม่อ่านเลยแม้แต่แผ่นเดียว เพราะฉะนั้นวันหลังไม่ต้องมีความคิดแบบนี้อีกแล้ว แกใส่แล้วเหนื่อย ฉันเก็บเหนื่อยยิ่งกว่า ทุกคนเป็นคนฉลาด ใช้ชีวิตให้ง่ายหน่อยไม่ดีเหรอ”
สีเลือดบนหน้าซูหว่านหายไปในชั่วขณะ ขาวซีดไปหมด
นิ้วมือของเธอสั่นอยู่ ยกจดหมายที่ไม่เคยถูกแกะออกกองนั้น ตัวก็สั่นไม่เบาเหมือนกัน
“ฉันเข้าใจแล้ว พี่สาววางใจได้เลย วันหลัง…วันหลังฉันจะไม่ทำอีกเลย”
พูดจบ เธอก้าวเท้าออกไปข้างนอกอย่างลำบาก
ตู๋กูยิงมองเธอออกไปตลอดทาง จนถึงเดินออกไปจากประตูทั้งคนแล้ว สีหน้าจึงคลายกลับมา
เธอก้มหน้ามองลงไปเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่านึกอะไรขึ้นมาได้ หัวเราะตัวเอง
ตู๋กูยิงนะตู๋กูยิง เธอใกล้จะตายแล้ว ก่อนตายแค่อยากขอให้เธอยกโทษให้ฉันที เธอจำเป็นต้องพูดฉอดๆ กับเธอแบบนี้ไหม
แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วควรทำแบบไหนอีกล่ะ!
กลับไปคืนดีกันเหรอ