“สุดหล่อ ทำไมคุณมาอยู่คนเดียวที่นี่ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนคุณใช่ไหม คุณว่าให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณดีไหม”
พูดอยู่ก็ตะครุบเข้ามาทั้งคน
เวินเหวินจวินไม่ทันรับมือ ถูกเธอตะครุบเต็มอกอย่างกะทันหัน
ตอนแรกจิตใต้สำนึกก็แค่อยากผลักคนออก แต่พอทันทีที่มือสัมผัสโดนตัวผู้หญิง กลิ่นหอมอ่อนโยนอย่างหนึ่งพุ่งเข้าไปในจมูกอย่างกะทันหัน
เขาอึ้ง มีความตะลึงเล็กน้อย
มองผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้า รู้สึกแค่ว่าภาพเหมือนกำลังบิดอยู่ เกิดภาพลวงตาขึ้นมา
ต่อมา ก็เห็นหน้าอันขาวซีดและอ่อนแอของซูหว่านใบนั้นปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
“หว่านหว่าน”
เขาเรียกอย่างหลงใหล ดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
หว่านหว่านคุณมาแล้วใช่ไหม
เพราะในที่สุดคุณก็ไม่อาจฝืนทนทิ้งผมลง ไม่ไว้ใจให้ผมอยู่ข้างนอกคนเดียว จึงมาตามหาผมใช่ไหม
เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปหาผู้หญิง ในปากเรียก “หว่านหว่าน” อยู่ตลอด
บนระเบียงบาร์อันโกลาหล มุมปากของผู้หญิงยิ้มอ่อนอย่างยั่วยวน มือข้างหนึ่งโอบตรงบนไหล่ของเขาเบาๆ เสียงเบาอ่อนโยนและทำให้หลงเสน่ห์
“ใช่ ฉันก็คือหว่านหว่าน ฉันมาหาคุณแล้ว ไปกับฉันดีไหม”
“ดี ผมไปกับคุณ ไปไหนก็ได้ แค่มีคุณอยู่ไม่ว่าที่ไหนผมก็ยอมไป”
เห็นท่าทางหลงใหลของเขา บนหน้าผู้หญิงกลับไม่มีความซึ้งใจสักนิดเลย
มีแค่คิดร้ายกับเมินเฉยอันไม่มีที่สิ้นสุด
เวินเหวินจวินตื่นมาอีกทีก็เวลาตีหนึ่งแล้ว
เขาตื่นมาจากถูกสาดน้ำเย็นหนึ่งกะละมัง
ลืมตาขึ้นมาก็เห็นข้างหน้าเป็นแสงไฟสว่างวูบวาบ
เขาหลับตาลงอย่างไม่ทันปรับตัว ลืมขึ้นมาอีกที เพิ่งเห็นชัดว่าที่นี่คือวิลล่าตกแต่งหรูหราแห่งหนึ่ง
ส่วนเขาขณะนี้ทั้งตัวถูกเชือกมัดไว้ นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของวิลล่า
ที่นี่ที่ไหน
เกิดอะไรขึ้นแล้ว
สีหน้าของเขาเปลี่ยน ลองย้อนกลับไปคิด พบว่าตัวเองจำได้แค่ตัวเองดื่มเหล้าในบาร์กับเพื่อนหลายคน ส่วนยังอื่นลืมไปหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้น
ในใจของเวินเหวินจวินหวาดกลัวมาก
และความหวาดกลัวนี้เปิดเผยอยู่บนหน้าไว้หมด
เขากลืนน้ำลายลงคำหนึ่ง อยากจะดูให้ชัดว่าแถวๆ นี้มีคนอยู่ไหม
แต่ทว่าสมองหมุนไปหมุนมา ดูไปรอบหนึ่ง พบว่ารอบๆ เงียบกริบไปทั่ว นอกจากเขาแล้ว ไม่ได้มีคนอื่นๆ อยู่แล้ว
เวินเหวินจวินไม่ได้เป็นศาสนิกชนอย่างที่ว่า ดังนั้นเรื่องลักพาตัวแบบนี้ไม่ทำให้เขาตกใจหรอก
สิ่งที่ทำให้เขากลัวได้จริงๆ คือความไม่รู้
คือความที่ไม่รู้ใครเป็นคนลักพาตัวเขาไป ยิ่งไม่รู้อีกฝั่งจะมีเป้าหมาย
นั่นก็เหมือนตาข่ายยักษ์ที่มองไม่เห็นแผ่นหนึ่ง ปกคลุมลงมาหนักๆ ทำให้เขาแม้แต่จุดบุกทะลวงอยู่ตรงไหนยังไม่รู้
เวินเหวินจวินเกลียดความรู้สึกแบบนี้ที่สุด
ดังนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังขึ้นมา
“มีคนไหม มีคนอยู่ไหม”
แต่สิ่งที่ตอบกลับเขา กลับมีแค่เสียงสะท้อนว่างเปล่า
ยังคงไม่มีสักคนเลย
ความรู้สึกหวาดกลัวใหญ่โตแบบนั้นยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ
เขาดิ้นรนแรงๆ กี่ที พบว่าเชื่อที่อยู่บนตัวถึงแม้จะดูง่าย แต่ความจริงแล้วมัดได้ยุ่งยากมาก ไม่ว่าเขาดิ้นรนยังไง เชือกก็รัดแน่นยิ่งขึ้น ไม่มีวี่แววคลายออกสักนิดเลย
เวินเหวินจวินอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ครุ่นคิดไปมา จึงไม่ดิ้นรนต่อ นั่งเงียบๆ อยู่ที่เดิมรอตื่นมา
ส่วนตอนนี้ ในห้องอ่านหนังชั้นสอง
เฟิงสิงลังเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวาน หลังจากออกจากโรงพยาบาล เขาไม่ได้กลับไปบ้านตระกูลเฟิงโดยตรง แต่คือให้คนไปลักพาตัวเวินเหวินจวินมา ตัวเองก็มาถึงที่นี่โดยตรงเหมือนกัน
เมื่อเขามาถึง เวินเหวินจวินยังไม่ตื่นขึ้นมา
ดังนั้น เขาก็แค่รออยู่ในห้องอ่านหนังสือ ไม่ได้รีบลงไปชั้นล่าง อยากลองดูปฏิกิริยาของเขาก่อน
ข้างๆ เฟิงเหยี่ยนก็อยู่เหมือนกัน เรื่องนี้เฟิงสิงลังเป็นคนสั่ง เฟิงเหยี่ยนไปปฏิบัตินั่นเอง
ดูผู้ชายที่นั่งอยู่บนพื้นเงียบๆ เฟิงเหยี่ยนหัวเราะแห้งๆ
“ปฏิกิริยาของแกก็เร็วเหมือนกัน ไม่นานก็นิ่งลงมาแล้ว”
เฟิงสิงลังก็พยักหน้าเหมือนกัน
“ใช่สิ สถานะอย่างพวกเขา คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนปลายมีดหลายๆ ปีแบบนี้ เจอเรื่องแบบนี้รอดกลับมายากอยู่แล้ว สามารถนิ่งได้แบบนี้ถือว่าดีมากแล้ว”
เฟิงเหยี่ยนหันหน้ามองคุณพ่อแวบหนึ่ง
หยุดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ทนไม่ไว้ ถามว่า: “พ่อ ท่านรู้ได้ยังไงว่าแกเป็นคนทำเรื่องรถชน” เฟิงสิงลังยิ้มแห้งๆ
เขาไม่ได้บอกสาเหตุออกมา เขาไม่อยากให้ใครรู้สาเหตุนี้
ก็เพราะวันนั้นก่อนที่เขาจะถูกรถชน เห็นข้างนอกมีคนหนึ่งเดินผ่านกับตาตัวเองผ่านหน้าต่างรถ คนคนนั้นก็คือเวินเหวินจวิน
หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา เคยสั่งคนไปสืบส่วนตัว
พบว่าเวินเหวินจวินกับซูหว่านอยู่ด้วยกัน และยังอยู่เคียงข้างเธอหลายปีด้วย แค่ลองคิดนิดหนึ่งก็ชัดแจ้งแล้ว
ที่เขาไม่ยอมทำให้เรื่องนี้วุ่นวายจนทุกๆ คนรู้ แม้กระทั่งเฟิงยี่ยังปิดบัง
ก็เพราะเขาไม่อยากพูดเรื่องเก่าของตัวเองและซูหว่านขึ้นมาใหม่
ส่วนเวินเหวินจวิน ประวัติของเขาสลับซับซ้อนมาก ถ้ายกเว้นเรื่องความรัก เขาก็ไม่อยากมีเรื่องกับคนที่มีภูมิหลังลึกซึ้งแบบนี้คนหนึ่ง
ยังไงตระกูลเฟิงก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ตอนนี้ กำลังส่วนใหญ่ย้ายไปด้านธุรกิจแล้ว อำนาจที่ไม่สะอาดเหล่านั้น พวกเขาไม่ทำนานมากแล้ว
แต่โลกใบนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ คนมีฐานะกลัวคนไม่กลัวตาย
ประโยคที่ว่าคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้า ก็ประมาณนี้แหละ
เพราะฉะนั้น เขาไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง และอาจยังเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน นำปัญหามาให้ลูกหลานของตัวเอง
พอนึกถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจลึกๆ คำหนึ่ง
“ผลักฉันลงไปเลย”
เฟิงเหยี่ยนเห็นเขาไม่ตอบ ก็ไม่ถามต่ออีก ผลักรถเข็นที่เขานั่งอยู่เดินไปข้างนอก
ถึงแม้เฟิงสิงลังจะถูกอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้
แต่ยังไงแผลบนตัวของเขาหนักเกินไปแล้ว ที่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ก็เพราะว่าตระกูลเฟิงมีหมอครอบครัวของตัวเอง มีหลายอย่างที่เกี่ยวกับการบำรุงรักษา อยู่ในบ้านจะดีกว่า
และแบบนี้แล้ว ตู๋กูยิงก็ไม่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลอีกแล้ว ไม่ว่ากับใคร ล้วนเป็นเรื่องที่สะดวกกว่าหนึ่งอย่าง
แต่ถึงเป็นแบบนี้ก็ตาม ก็ไม่ได้หมายถึงตอนนี้เขาสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้
ดังนั้น ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะไปไหน ยังคงต้องนั่งรถเข็น ไม่สามารถเดินไปเดินอย่างอิสระ ข้างตัวก็ต้องมีคนคอยดูแล
วันนี้เมื่อเขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ก็บอกว่าจะออกมาทำธุระ ตู๋กูยิงยังอารมณ์เสียด้วย
คิดว่าเขากำลังทำลายร่างกายของตัวเองไปเรื่อย
เฟิงสิงลังจำใจมาก แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น
สุดท้ายได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพื่อแสดงความฝืนใจของตัวเอง
เฟิงเหยี่ยนผลักเขาลงไปชั้นล่าง ไม่นาน การมาของสองคนก็ได้ดึงดูดความสนใจของเวินเหวินจวิน
เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเขา เวินเหวินจวินก็อึ้งอย่างรุนแรงเหมือน รู้สึกคาดคิดไม่ถึง
“คือพวกแกเหรอ”
พอเทียบกับความตกใจของเขา เฟิงสิงลังกลับดูใจกว้างเยอะมาก
ยิ่งกว่านั้นบนหน้าของเขายังมีรอยยิ้มอ่อนโยนด้วย พูดว่า : “คุณเวิน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
สีหน้าของเวินเหวินจวินเปลี่ยนแปลง
เนิ่นนาน ทำเสียงไม่พอใจ
“พวกแกลักพาตัวกูมาที่นี่ทำอะไร อีกอย่าง นี่หมายความว่าไง”
พูดอยู่ยังยกมือขึ้นมาด้วย แสดงให้เห็นเชือกที่มัดอยู่ตรงมือตัวเอง