บทที่ 6 จดทะเบียนสมรส
เขาเอามือนวดที่ขมับด้วยความปวดหัว
ผ่านไปชั่วครู่จึงถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพูดว่า “ปล่อยมือซะ ผมจะส่งคุณไปพักผ่อน”
“ไม่เอา!”
เธอกอดคอเขาไว้แน่นและซุกหน้าเอาไว้ที่อกของเขาคล้ายกับคนที่กำลังจะจมน้ำและกอดขอนไม้ไว้
เวลาหกปีที่ผ่านมา มู่ยั่นเจ๋อไม่เคยแตะต้องตัวเธอ จิ่งหนิงคิดอย่างโง่ๆว่าเป็นเพราะเขาให้เกียรติเธอและอยากดูแลเธอ
วันนี้เธอเพิ่งจะรู้ว่าที่เขาไม่แตะต้องตัวเธอก็เพราะรังเกียจและเบื่อหน่ายกับความไม่น่าสนใจในตัวเธอ เพิ่งจะรู้ว่าในสายตาเขานอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นผู้หญิงแล้วอย่างอื่นไม่ได้ต่างอะไรกับผู้ชายเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอก็โมโหอย่างรุนแรง
คล้ายกับจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอกอดเขาและจูบที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอไม่ได้เพียงจุมพิต แต่เธอได้กัดริมฝีปากของเขาเบาๆและใช้ลิ้นสำรวจเข้าไปด้านใน ขนตางอนยาวของเธอเริ่มปิดลง สัมผัสเข้ากับใบหน้าของเขา ทำให้รู้สึกจักจี้
ร่างกายของลู่จิ่งเซินแข็งทื่อ
ในสมองของเขาคล้ายกับกำลังจะระเบิด
หลังจากรวบรวมสติได้เขาก็เอื้อมมือมาจับที่คางเธอ หายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า
“จิ่งหนิง คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรอยู่?”
จิ่งหนิงถอนฝีปากจากเขา เธอจ้องมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาแล้วพูดว่า
“ฉันรู้ ฉันจะนอนกับคุณไง!”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีของเธอ
เขาใช้ดวงตาอันแหลมคมมองมายังเธอและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“คุณแน่ใจนะ?”
เธอยังยืนยันคำเดิมแล้วพยักหน้า
“งั้นผมจะสนองคุณเอง……”
ณ ชั้นสองของคฤหาสน์บ้านลู่
ประตูห้องนอนถูกปิดลงดังปัง เขาวางเธอลงที่บนเตียง แล้วระดมจูบเธอไปทั่วร่างกายจากหัวลงมา เสื้อผ้าค่อยๆหายไปทีละชิ้นๆกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
เธอครางเบาๆ ร่างกายอันเร่าร้อนบวกกับความมึนงงของเหล้าอยู่ แยกไม่ออกว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆหูเธอว่า “ ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้าย คุณยังจะนอนกับผมอยู่ไหม?”
เธอพยักหน้าตอบรับด้วยความมึนงง
ลู่จิ่งเซินเปิดลิ้นชักข้างเตียงขึ้นมาแล้วหยิบเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นก็เซ็นซะ!”
จิ่งหนิงถามขึ้นว่า “อะไรคะ?”
“หนังสือสัญญา เป็นการแสดงออกถึงความเคารพที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิงอันเป็นที่รัก”
เธอมองไปยังเขา ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรอยู่ แต่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้เธอลงชื่อไปด้วยความไม่รู้สึกตัว
เมื่อมองเห็นบนกระดาษนั้นมีลายเซ็นอยู่สองคำเป็นชื่อของเธอ ลู่จิ่งเซินจึงได้ยิ้มขึ้นด้วยความพอใจ จากนั้นเก็บเอกสารลงไปในลิ้นชัก แล้วก้มลงจูบเธออย่างหนักหน่วง
ณ ห้องที่ถูกประดับอย่างสวยงาม
……
เช้าวันต่อมา จิ่งหนิงตื่นขึ้นมาด้วยอาการเจ็บปวดไปทั้งตัว
เธอรู้สึกถึงความเมื่อยล้าราวกับถูกรถบรรทุกทับร่างมา เธอเจ็บปวดไปทุกที่
เธอลงจากเตียงด้วยความยากลำบากแล้วรู้สึกว่าคอแห้ง
เธอมองเห็นแก้วน้ำที่วางอยู่บนหัวเตียงแล้วหยิบมันมาดื่มโดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย
เมื่อน้ำอุ่นๆไหลลงสู่ช่องท้องเธอจึงได้รู้สึกสบายตัวขึ้น และความทรงจำเมื่อคืนค่อยๆกลับคืนมา
เธอนำมือนวดไปที่หัวคิ้วทั้งสองข้าง คลับคล้ายคลับคลาว่าขึ้นรถมากับผู้ชายคนหนึ่ง หลังได้รับสายจากมู่ยั่นเจ๋อและจิ่งเสี่ยวหย่า ให้เธอรู้สึกโมโหและทำเรื่องบางอย่างลงไปแต่เธอจำไม่ได้แล้ว
จิ่งหนิงตกตะลึงและรีบเปิดผ้าห่มออกดู
แม้เธอจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นรอยจูบแดงไปทั่วร่างกายของตัวเองก็แทบจะเป็นบ้า
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
เธอยกมือขึ้นขยี้หัว ทันใดนั้นเองเสียงประตูก็ดังขึ้น
เธอตกตะลึงมากรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้
“ใคร?”
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกจากภายนอก ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา
จิ่งหนิงขมวดคิ้วมองดูเขา
แม้ว่าความทรงจำของเมื่อคืนค่อนข้างจะคลุมเครือ แต่เธอเองก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่านอนกับผู้ชายแบบไหน
ลู่จิ่งเซินสวมชุดสูทสีดำ ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ติดกระดุมขึ้นไปถึงเม็ดบนสุด คิ้วของเขาหนาเข้ม สีหน้าแสดงออกถึงความเย็นชา ทำให้คนที่เข้าใกล้ ขนลุกด้วยความเยือกเย็น
ในมือของเขามีชุดเดรสอยู่ชุดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้ว เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปมากนัก
ลู่จิ่งเซินวางชุดเดรสนั้นไว้ที่หัวเตียงแล้วพูดว่า “เปลี่ยนเสร็จแล้วก็ลงมากินข้าว”
จิ่งหนิงเอ่ยปากเรียกเขา
“คุณคะ!เมื่อคืน……”
ลู่จิ่งเซินหันหลังให้เธอ ยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า
“มากินข้าวแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อพูดจบก็เดินตรงออกไปและยังปิดประตูให้เธออย่างสุภาพบุรุษ
จิ่งหนิงตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเธอก็เอนตัวลงไปที่เตียง เอามือจิกหมอนแน่นแล้วกรี๊ดออกมาอย่างไม่มีเสียง
ความทรงจำของเมื่อคืนที่ผ่านมาจะค่อนข้างเลือนราง แต่เธอก็ยังไม่ได้ขาดสติไป จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองทำอะไรกับชายคนนี้บ้าง
นี่มันน่าอายจริงๆ!!!
ถึงเธอจะเสียใจแต่เวลาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ หลังระบายอารมณ์อยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงลงจากเตียงแล้วหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ
ตอนที่เธออาบน้ำชำระร่างกาย จิ่งหนิงมองเห็นรอยจูบแดงไปทั่วร่างกายของเธอก็อดไม่ได้ที่หน้าแดง
เธออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินลงมาด้านล่าง เห็นชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ห้องรับแขกนี้ใหญ่มาก การประดับตกแต่งคล้ายกับในห้องนอนด้านบน ไม้โทนสีขาวดำทันสมัยเรียบง่ายแต่หรูหรา ข้างๆเป็นหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสที่กำลังเปิดอยู่ สายลมพัดมาทำให้รู้สึกเย็นสบาย
เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหลังไปมอง เมื่อเห็นเธอเดินลงมาสายตาของเขาก็รู้สึกประหลาดใจ
จิ่งหนิงสวมชุดเดรสยาวสีดำถึงเข่าที่เขาถือไปให้ คอเสื้อเผยอออกเล็กน้อย คอของเธอใส่เครื่องประดับสีดำเส้นเล็กๆ มองรวมกันแล้วเรียบง่ายแต่เซ็กซี่
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องอาหาร
จิ่งหนิงเดินตามไปในที่สุดก็ตามเขาทัน
“คุณคะเรื่องเมื่อคืนฉันต้องขอโทษจริงๆ ฉันดื่มมากเกินไป!”
ลู่จิ่งเซินลากเก้าอี้ออกเชิญให้เธอนั่ง ส่วนตัวเขาเดินอ้อมไปนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นเขาก็พูดตามออกมาอีกประโยคหนึ่งว่า “มันเป็นหน้าที่ของผม”
“อะไรนะ?”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว เธอไม่เข้าใจความหมายของเขา ทันใดนั้นก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
เขาเดินมาหยุดที่ด้านหน้าลู่จิ่งเซินแล้วโค้งคำนับ พร้อมหนังสือสีแดงสองเล่มเล็กๆมาให้เขา พูดขึ้นว่า “ท่านประธานครับ จัดการเรียบร้อยแล้ว”
ลู่จิ่งเซินพูดเพียงว่า “อืม” แล้วยื่นมือไปรับ เมื่อเปิดดูด้านในก็หยิบสมุดเล่มหนึ่งยืนให้เธอที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“คุณดูสิ”
จิ่งหนิงตกตะลึง หนังสือสีแดงเล่มนี้รู้สึกคุ้นตามากมันเหมือนกับ……
หัวใจของเธอแทบจะหลุดออกมาด้านนอก เธอรับมันไปแล้วเปิดดูด้านใน มีชื่อของคนสองคนเขียนอยู่อย่างชัดเจนอีกทั้งรูปภาพนั่น เธอจ้องมองด้วยตาเขม็ง!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”
ลู่จิ่งเซินมองมาที่เธอ
เมื่อเทียบกับเธอที่ทำท่าทีตกใจแล้ว เขาดูสงบมากกว่าหลายเท่านัก เขาวางทะเบียนสมรสไว้ข้างๆแล้วพูดกับเธอว่า “คุณเซ็นอะไรไปเมื่อคืน ลืมแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงจ้องไปที่เขาแล้วถามว่า “ฉันเซ็นอะไร?”
“เหอะๆ!” เขารู้ดีว่าเธอจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ ลู่จิ่งเซินเคาะนิ้วลงไปที่โต๊ะ ซูมู่ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งมาให้เขา
จิ่งหนิงรับไปดู บนหัวข้อใหญ่ของเอกสารเขียนไว้ตัวโตว่า หนังสือมอบอำนาจทะเบียนสมรส