โม่หนานตกตะลึง โดยไม่รู้ตัวเธอไม่ได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เขากำลังสื่อออกมา
อีกฝ่ายคิดว่าเธอไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน จึงหรี่ตาและหัวเราะกว้าง
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องปิดบังผมหรอก ผมไม่ได้โกรธแค้นอะไรพวกคุณ และผมก็จะไม่ไปหานักข่าวซุบซิบที่น่าเบื่อพวกนั้นด้วย”
เขาพูด พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า และพิมพ์ชื่อจิ่งหนิงลงในแถบค้นหา
ในไม่ช้า ข้อความก็แสดงออกมารัว ๆ
เห็นเพียงแต่ว่ามันคือข่าวของจิ่งหนิงทั้งหมด ไม่มียกเว้น เนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งก่อนของเธอในฐานะนักแสดง
แม้ว่าเธอจะเกษียณตัวเองหลังจากให้กำเนิดลูกในช่วงไม่กี่ปีหลัง ดังนั้นข่าวนี้จึงเป็นข่าวของเมื่อสองสามปีก่อน แต่ตราบใดที่มีคนต้องการค้นหา ก็ยังสามารถค้นหาได้ไม่ยาก
โม่หนานรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
เรื่องนี้ต้องโทษเธอ เพราะหลังจากอยู่กับจิ่งหนิงมานานพอสมควร สิ่งที่จิ่งหนิงทำและตัวตนของเธอนั้นซับซ้อนเกินไป ซึ่งทำให้เธอลืมไป ว่าเธอยังมีตัวตนของนักแสดงอยู่
โม่หนานพยายามแสร้งยิ้มโดยยกมุมปากขึ้น พูดอย่างเขินอาย “เอ่อ…ใช่ คนที่คุณเห็นคือเพื่อนของฉัน ขอบคุณที่เก็บเป็นความลับให้เรานะคะ”
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินคำสารภาพของเธอ สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลง และดูเหมือนว่าจะค่อยๆ โล่งใจ
“ผมรู้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
ทันทีหลังจากนั้น เขายิ้มและแนะนำตัวกับเธอ “ผมชื่อBob คุณชื่ออะไร?”
โม่หนานตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “โม่หนาน”
“โม่หนาน? ชื่อเพราะจัง ตอนนี้พวกเรารู้จักกันแล้ว ก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?”
ในใจของโม่หนานมีความรู้สึกว่าคน ๆ นี้ …น่ารำคาญ
แต่เธอไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ และจะยิ่งลำบากใจขึ้นอีกถ้าไล่เขาไป
อย่างไรซะก็อยู่ในพื้นที่ของคนอื่น!
เป็นผลให้ เธอยังคงสามารถรักษาภาพลักษณ์ของเธอที่นิ่งเงียบและสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ โดยไม่คุยกับเขา
Bob เห็นว่าเขาพูดไปตั้งเยอะ เธอไม่ตอบแม้แต่คำเดียว แม้แต่การตอบสนองใด ๆ ก็ไม่มี
เขาอดไม่ได้ที่จะคลำจมูกตัวเอง พลางคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือไม่!
ในขณะนี้ จิ่งหนิงฝึกซ้อมเสร็จเรียบร้อยไปแล้วหนึ่งรอบ จึงให้เวลาตัวเองพักสิบห้านาที แล้วเธอก็เดินมาทางนี้
“กำลังคุยอะไรกันน่ะ? เสียงดังโหวกเหวกมาก”
เสียงดังโหวกเหวก?
โม่หนานรู้สึกเหมือนได้ยินมุกตลก ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ
จิ่งหนิงเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าของเธอมีสีอ่อน ๆ
แน่นอนว่าเธอสามารถเห็นได้ว่าคนทั้งสองเริ่มอึดอัดวางตัวไม่ถูก แต่เพียงเพราะเธอสามารถมองออก เธอจึงอยากจะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
บังเอิญเจอคนอย่างโม่หนานที่เป็นคนตรงไปตรงมา คิดอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม บรรยากาศก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ Bob ยังคงสามารถใช้อารมณ์ขันของตัวเองดึงสถานการณ์กลับมาได้
แต่ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นเขาก็ดึงบรรยากาศกลับมาไม่ได้แล้ว และสุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ แสร้งทำเป็นว่างานยุ่งต้องขอตัวรีบไปสะสาง
เมื่อ Bob เดินจากไป จิ่งหนิงก็นั่งลง มองโม่หนานอย่างจนปัญญา
“เธออ่ะ ดูไม่ออกเหรอว่ามีคนตั้งใจพยายามจะคุยกับเธอ มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเธอเลยเหรอ? ทำไมถึงได้ทำหน้าเย็นชาเช่นนี้?”
และปฏิเสธอย่างดื้อรั้น “ตรงไหนกัน อย่าไร้สาระน่า”
“ชิ ฉันพูดไร้สาระงั้นเหรอ จริงสิ คงมีบางคนไม่กล้ายอมรับ”
เธอจิบน้ำแล้วพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “โม่หนานของเราเป็นคนสวย หุ่นดี บุคลิกดี แต่ขี้อายเกินไป ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีลูกชายของผู้สูงศักดิ์คนไหน จะรับดอกไม้ช่อนี้ของพวกเราไปน้า”
ใบหน้าของโม่หนานก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เธอลังเลปนกับตื่นตระหนกเล็กน้อย “หนิงหนิง เธอไม่ต้องพูดแล้ว มันไม่มีอะไรอย่างนั้นหรอกน่า”
จิ่งหนิงเมื่อเห็นท่าทางประหม่าของเธอ ก็อดหัวเราะไม่ได้
“ทำไมจะไม่มี? ชายหนุ่มเมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็ต้องแต่งงาน หญิงสาวก็ต้องออกเรือนเช่นกัน การมีคนรักก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้เธอก็อายุไม่น้อยแล้ว เริ่มพิจารณาเรื่องนี้ได้แล้วล่ะ”
โม่หนานเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร
จิ่งหนิงไม่ได้ตั้งใจจะถามถึงเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่ในฐานะเพื่อน อะไรที่เตือนกันได้ก็อยากจะเตือนเอาไว้ แต่การตัดสินใจเลือกก็ต้องแล้วแต่เจ้าตัว
หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว เธอก็ไปซ้อมขับรถต่อ
หลังจากการฝึกฝนมาทั้งวัน จนกระทั่งค่ำเวลาสองทุ่ม การฝึกก็สิ้นสุดลง
เมื่อเดินทางกลับถึงโรงแรม เธอก็กินข้าว พลางวิดีโอคอลคุยกับลู่จิ่งเซินไปด้วย
ลู่จิ่งเซินเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเธอ โดยกะเวลาอย่างเหมาะสม รู้ว่าเธอเพิ่งมีเวลาว่าง และตอนนี้กำลังกินข้าวอยู่
การวิดีโอคอลคุยกันนั้น ไม่ทำให้เสียเวลาพักผ่อนของเธอเลยแม้แต่น้อย คุยกันนาน ก็ไม่ทำให้เสียเวลา
ในวิดีโอคอล อานอานกับจิ้งเจ๋อก็อยู่ด้วยครบ
ขณะนี้ ที่ประเทศจีนเป็นเวลาเช้า เนื่องจากยังเช้าเกินไป ลู่จิ่งเซินจึงยังไม่ได้เข้าไปที่บริษัท จึงพาเด็กน้อยที่อยู่ที่บ้านสองคนคุยมากับเธอ
ได้เห็นเพียงแก้มน้อย ๆ ที่งดงามและดูสดใสมีชีวิตชีวาของอานอานจากในวิดีโอ ออดอ้อนเธอ “หม่ามี๊ ไปที่นั่นมาสองวันแล้ว หนูนับให้เรียบร้อยแล้ว หม่ามี๊จะกลับมาวันมะรืนนี้ใช่ไหมคะ”
จิ่งหนิงยิ้มและพูดว่า “มะรืนนี้ที่ไหน อีกสามวันต่างหาก นับเพิ่มไปอีกหนึ่งวันนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อานอานก็เบ้ปากเล็ก ๆ อย่างไม่พอใจ
ถัดไปข้าง ๆ จิ้งเจ๋อก็พูดเสียงอ้อแอ้แทรกเข้ามา
ตอนนี้เขาสามารถพูดบางคำได้แล้ว เพียงแต่ยังพูดไม่ค่อยชัด
เสียงอ้อแอ้นั้นพูดว่า “ หม่ามี๊ตะไมหม่ามี๊ไม่กลับมา ป๋มคิดถึงหม่ามี๊”
จิ่งหนิงเมื่อได้ยินลูกน้อยพูดดังนั้น ก็รู้สึกว่าหัวใจของเธออ่อนระทวยกลายเป็นน้ำ
เธออธิบายอย่างจริงจัง “เพราะหม่ามี๊ต้องทำงานไงคะ จิ้งเจ๋ออยู่ที่บ้านต้องไม่ดื้อ และก็ต้องเชื่อฟังแด๊ดดี้กับพี่สาว เข้าใจไหม?”
เจ้าก้อนกลมตัวน้อยพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลู่จิงเซินเมื่อเห็นว่าเธอคุยกับเด็ก ๆ เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็เรียกให้สาวใช้พาเด็กๆ ออกไป แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พลางเดินออกไปคุยกับจิ่งหนิงเป็นการส่วนตัว
“ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? โอเคไหม?”
จิ่งหนิง เห็นวิดีโอของเขากระตุกสองครั้ง ราวกับว่ากำลังนั่งอยู่บนรถ
เธอพยักหน้า ตอบกลับไปว่า “ทางนี้สบายดีค่ะ แล้วคุณล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาปรากฏคมชัดบนหน้าจอ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูนุ่มนวล
“ดีเหมือนกัน แต่จะดีกว่าถ้าคุณอยู่ที่บ้าน”
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มแก้มปริ
แม้ว่าจะรู้ว่าที่เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อจะทำให้เธอมีความสุข แต่ในใจก็อดหวั่นไหวกับคำพูดหวาน ๆ ราวกับน้ำผึ้งนี้ได้
ลู่จิ่งเซินคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วถามอีกว่า “สองวันผ่านมาคุณคิดถึงผมไหม?”
แต่เป็นเพราะอยู่ในร้านอาหารสาธารณะ และโม่หนานก็อยู่ข้าง ๆ จิ่งหนิงจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ใบหน้าเล็กๆ ที่น่ารักแดงระเรื่อ เธอมองซ้ายทีขวาที จากนั้นก็พูดอย่างเขินอาย “คิดถึง”
ในวิดีโอ หลังจากที่ชายหนุ่มได้ยินคำนี้ รอยยิ้มอย่างพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
“ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่ได้คำนึงถึงเลยแม้แต่น้อยว่าบนรถยังมีคนขับและซูมู่อยู่ด้วย เขามองไปที่เธอและพูดอย่างจริงจังว่า “คิดถึงหลายครั้งเลยด้วย”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของจิ่งหนิงเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ได้คาดคิด
พูดอย่างเคร่งครัด เธอและลู่จิ่งเซินแต่งงานกันมาสี่ปีแล้ว
เธอคิดมาตลอดว่า สิ่งที่เรียกว่าความรัก จะค่อย ๆ จืดจางไปตามกาลเวลา และในที่สุดก็กลายเป็นความผูกพันของครอบครัวที่แยกจากกันไม่ได้
แต่จนกระทั่งเธอแต่งงานกับลู่จิ่งเซิน เธอถึงพบว่า มันไม่ใช่แบบที่เธอคิดเลย