เธอไม่ได้ดูผิดไปและไม่ได้เดาผิดด้วย
สองคนนั้น ตามพวกเธอมาตลอดตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน
สัมผัสที่หกของจิ่งหนิงกับสถานการณ์เบื้องหน้าสอดคล้องกัน
คนที่อยู่เบื้องหน้ายกปืนขึ้นพลางยิ้มอย่างเย็นชา จิ่งหนิงรู้สึกเครียด ทำให้แสดงท่าทีหลบหลีกอย่างอัตโนมัติ
จากนั้น จู่ ๆ ก็มีเงาดำผ่านมาจากข้างหลัง
ก็ได้ยินเสียงดัง“ปั๊ง”ตามมา คนๆนั้นพลิกตัวอยู่ที่พื้น
จากนั้นก็ได้ยินเสียงโม่หนานตะโกนออกมาว่า“หนิงหนิง รีบมาเร็ว!”
จิ่งหนิงตะลึงงัน!รีบวิ่งเข้าไป
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมคนสองคนนั้นถึงได้ทำเช่นนี้กับพวกเขา แต่ว่าเมื่อคิดไปคิดมาก็พบว่าพวกเขาไม่เคยตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดของพวกเธอเลย คิดว่าพวกเธอเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาๆคนหนึ่ง
ดังนั้น พวกเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่าโม่หนานจะมีร่างกายที่แข็งแรงขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่า คนสองคนนี้น่าจะเป็นมือสังหารที่ถูกจ้างวานมา
เพียงแต่ว่า การที่พวกเขาทำลายชีวิตผู้โดยสารทั้งเครื่องบิน เพื่อที่จะไล่ฆ่าพวกเธอเป็นสิ่งที่ทำให้จิ่งหนิงรู้สึกโกรธมาก
คนสองคนวิ่งไปที่หน้าประตู เมื่อเตรียมร่มชูชีพเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นเครื่องบินอีกลำหนึ่งบินเข้ามา
เสียงแตรดังสนั่นผ่านท้องฟ้าสีคราม
“ผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องบินลำข้างหน้านี้โปรดฟัง พวกเราต้องการที่จะช่วยเหลือพวกคุณ ขอเพียงแค่พวกคุณมอบคนสองคนให้กับพวกเรา พวกเราเตรียมเครื่องบินไว้รองรับพวกคุณแล้ว และจะส่งพวกคุณไปยังที่หมายอย่างปลอดภัย หากพวกคุณไม่ยอม ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
สีหน้าของจิ่งหนิงเปลี่ยนไป
เห็นเพียงผ้าแถบสีเหลืองถูกปล่อยออกมาจากเครื่องบินลำนั้นสองผืนซึ่งมีรูปถ่ายขนาดใหญ่ของจิ่งหนิงและโม่หนาน
คนที่อยู่บนเครื่องบิน มองผ่านหน้าต่างและผู้โดยสารจำนวนมากก็ต่างเห็น
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า“ฉันเห็นพวกหล่อนแล้ว พวกหล่อนอยู่ที่นั่น”
ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่จิ่งหนิงและโม่หนานก็ยืนอยู่ที่ประตูของเครื่องบิน
สีหน้าของจิ่งหนิงและโม่หนานขรึมลง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะร้ายกาจขนาดนี้
ไม่เพียงไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้โดยสารบนเครื่องบิน ทั้งยังตอนนี้ยังยุให้พวกเขาเห็นพวกเธอเป็นศัตรูด้วย
เมื่อเห็นว่าคนพวกนั้นปะทะมาที่พวกเธอ จึงสามารถที่จะล่าช้าได้แล้ว
โม่หนานคว้ามือของเธอ พลางพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “กระโดด!”
จากนั้นก็ผลักเธอลงไป ในขณะเดียวกันตนเองก็กระโดดตามลงไปด้วย
เสียงปืนดัง“ปั๊ง”“ปั๊ง”อยู่กลางอากาศ
เนื่องจากผลกระทบของชั้นบรรยากาศ ทำให้ลูกกระสุนยากที่จะยิ่งถูกเป้า
จิ่งหนิงรู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นพัดมากระทบหน้าของเธอ ร่างกายราวกับถูกลมแรงโหมกระหน่ำจนร่างกายแทบจะขาดเป็นท่อนๆ
เธอทำได้เพียงปิดตาลงแน่น เมื่อสมองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยากมากที่จะคิดพิจารณาอะไรได้ ยิ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าตอนนี้โม่หนานอยู่ที่ไหน
ร่มชูชีพที่อยู่ข้างหลังถูกกางออกดัง“พรึบ”มีเพียงในสถานการณ์ที่ขาดอากาศและช่วงที่ลมพัดโหมเท่านั้นที่เธอไม่สามารถควบคุมได้
สุดท้าย ก็รู้สึกเพียงว่าเหมือนศีรษะถูกอะไรบางอย่างห่อไว้แน่น ยิ่งห่อก็ยิ่งรัดมากขึ้น กระทั่งเจ็บจนหัวแทบระเบิด
เบื้องหน้ามืดสนิทจากนั้นก็สลบไป
……
เมื่อจิ่งหนิงตื่นขึ้นมา ด้านข้างมีเพียงแสงไฟริบหรี่
เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบว่าตนนอนอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ทรุดโทรมห้องหนึ่ง
เป็นบ้านที่ทำจากโคลนเลนและก้อนหินอย่างลวกๆ ผ้าปูเตียงที่รองร่างกายของเธออยู่ด้านล่างก็ส่งกลิ่นชื้นและเชื้อราออกมา
พยายามประคับประคองตัวเองสักพักอยากที่จะลุกขึ้นมา ก็พบว่าตนเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ไม่สามารถออกแรงได้เลยแม้แต่น้อย
เธออดไม่ได้ที่จะกะพริบตาปริบๆ
ที่นี่ที่ไหนกัน?
เธออยู่ที่ไหน?
ด้านนอกมีเสียงเอะอะโวยวายดังเข้ามาปะปนกับเสียงดีอกดีใจ เนื่องจากเป็นภาษาท้องถิ่น เธอก็เลยฟังไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่สามารถเดาจากน้ำเสียงได้ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นความปิติยินดี
แสงไฟจากด้านนอกทำให้เธอรับรู้ได้ว่าด้านนอกกำลังมีคนเดินมา ไม่นานก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังมีคนเดินเข้ามา
เห็นเพียงหล่อนเป็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ด้านหลังมีคนติดตามสองสามคน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้าน กำลังถือคบเพลิงเดินเข้ามา
เมื่อเห็นเธอนอนเอนเพียงครึ่งตัวพร้อม ดวงตาที่สง่างามเบิกกว้างอยู่ตรงนั้น
หญิงวัยกลางคนก็อุทานขึ้น“ไอโยว”พลางเขยิบเข้าไปข้างหน้าด้วยความดีใจแล้วถามขึ้นว่า“คุณตื่นแล้วเหรอคะ?”
ในหัวของจิ่งหนิงยังคงงุนงง
ยังไม่ทันได้สติว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน และยิ่งไม่รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอนั้นเป็นใคร
ได้ยินเพียงหญิงวัยกลางคนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ด้านหลังของคุณมีร่มชูชีพขนาดใหญ่มาก และหล่นลงมาบริเวณใกล้กับแม่น้ำ เมื่อตอนกลางวันฉันไปซักผ้าแถวนั้นก็เลยช่วยคุณกลับมา ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?มีส่วนไหนของร่างกายที่รู้สึกไม่สบายไหม?”
จิ่งหนิงจึงได้สติกลับมา ที่แท้พวกเขาก็เป็นคนช่วยตน
เธอพยายามฝืนประคองตนเองลุกขึ้นนั่ง แล้วเอ่ยขอบคุณหล่อน“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือฉัน ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ใช่สิ พวกคุณเห็นเพื่อนของฉันไหมคะ?”
หญิงวัยกลางคนคนนั้นงงงวย“เพื่อน?คุณยังมีเพื่อนอีกคนเหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้า
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วพูดกับเธอว่า:“เป็นผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน น่าจะอยู่แถวๆนี้ พวกคุณเห็นบ้างไหมคะ?”
หญิงวัยกลางคนเหลือบมองเธอ พลางส่ายศีรษะ
จากนั้นหันศีรษะมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง พลางถามขึ้นว่า:“พวกคุณเห็นเพื่อนของผู้หญิงคนนี้ไหม?”
ทุกคนต่างส่ายหัวด้วยสีหน้างงงวย
ขณะที่ในใจของจิ่งหนิงกำลังหดหู่อยู่นั้น วัยรุ่นรูปร่างผอมปากแหลมแก้มตอบคนหนึ่งก็ลุกขึ้น
เห็นเขาพูดขึ้นว่า:“อ่อ ผมรู้แล้ว วันนี้ผมเพิ่งกลับมาจากบ้านของลุงสี่ พวกเขาบอกว่าได้ช่วยเหลือพี่สาวคนหนึ่งไว้ ไม่รู้ว่าจะใช่หล่อนหรือเปล่า”
หญิงวัยกลางคนงงงวย ไม่อยากจะเชื่อ
“คงไม่ใช่มั่ง ลุงสี่พักอยู่ไกลขนาดนั้น ห่างจากที่นี่หลายสิบกิโลเมตร ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเพื่อนของเธออยู่ละแวกนี้ ทำไมถึงได้อยู่ไกลขนาดนั้นล่ะ?”
จากนั้น จู่ๆ สายตาของจิ่งหนิงก็เป็นประกาย
“ใช่แน่ๆ ต้องเป็นเธอแน่ๆ”
แท้ที่จริงแท้แล้วเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อคิดไปคิดมาการที่คนสองคนกระโดดร่มลงมาโดยไม่ได้คำนึงถึงทิศทาง การที่จะตกลงมาในสถานที่ที่แตกต่างกันก็มีความเป็นไปได้สูง
ในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่มีใครรับประกันได้ว่าทั้งสองคนจะหล่นลงมาในที่เดียวกัน
เมื่อหญิงสาววัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ
แต่สุดท้ายก็พยักหน้า“ได้ ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่าคุณวางใจเถอะ ในเมื่อลุงสี่ลุงของเสี่ยวลิ่วจื่อเป็นคนช่วยเหลือเพื่อนของคุณไว้ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คุณพักผ่อนก่อนเถอะ รอคุณพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ค่อยพาคุณไปหาเพื่อน”
จิ่งหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก รีบพูดขอบคุณ“ถ้างั้นก็รบกวนคุณด้วยนะคะ”
หญิงวัยกลางคนยิ้มในทันที เผยฟันที่ไม่ถือว่าขาวมากนักออกมา “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ”
ขณะที่เธอพูด ก็หันหลังแล้วพูดกับคนกลุ่มหนึ่งว่า:“พอได้แล้ว พอได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนก็ได้เห็นคนแล้ว ควรแยกย้ายได้แล้ว”
คนกลุ่มนั้นน่าจะเป็นชาวบ้านที่นี่ พวกเขามองไปยังจิ่งหนิงด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นราวกับมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่
แต่เป็นเพราะว่าฟ้ามืดแล้ว และที่นี่ก็ไม่มีไฟด้วย จิ่งหนิงก็เลยดูไม่ชัดสักเท่าไหร่
หลังจากที่ไล่คนพวกนั้นไปแล้ว หญิงวัยกลางคนจึงหันกลับมาและยิ้มให้กับเธอ:“สาวน้อย ตอนนี้คุณหิวไหม?ให้พี่ทำอะไรให้กินไหม?”
ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยถามก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอถามขึ้นจิ่งหนิงก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที