เด็กน้อยกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้หลายปีแล้ว จะเคยกินอาหารทานเล่นได้ยังไง?
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ จู่ๆก็เผยแววตามที่เป็นประกายออกมา
“ดีสิ ดีสิ!”
จิ่งหนิงยิ้ม ในใจคิดว่า แม้ว่าเด็กกลุ่มนี้เฝ้าตามตนไม่ห่างจะดูแปลกประหลาด แต่อย่างน้อยก็ยังคงดูน่ารัก
การที่ลงมือทำขนมให้พวกเขาทานด้วยตนเองก็ไม่ได้หนักหนาอะไร
เธอเองก็เป็นแม่คน แน่นอนว่ามีความรู้สึกสงสารเด็กน้อยเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าคงไม่ได้เตรียมใจรับมือ
เมื่อเข้ามายังห้องครัว เห็นเพียงห้องครัวที่มืดสนิท
ดีที่ด้านซ้ายมีหน้าต่างขนาดไม่เล็กมาก เมื่อเปิดหน้าต่างออกมา แสงแดดของด้านนอกก็ส่องเข้ามา จึงทำให้ห้องครัวที่เดิมทีมืดสลัวดูสว่างขึ้นเป็นอย่างมาก
ในชนบทที่ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า แน่นอนว่าก็คงจะไม่มีเตาหุงต้ม
จิ่งหนิงหันศีรษะเหลือบมองที่น้อยที่อยู่ข้างหลังตนครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า:“พวกคุณมีใครจุดไฟเป็นบ้าง?”
ทุกคนต่างยกมือขึ้นอย่างกระตือรือร้น พลางตะโกนส่งเสียงเซ็งแซ่ขึ้นว่า“ผมจุดเป็น!”
“ผมจุดเป็น หนูจุดเป็น!”
“ผมก็จุดเป็น”
จิ่งหนิงเหลือบมองครู่หนึ่ง และเลือกคนที่อายุมากที่สุดโดยมุ่งเป้าไปที่เขา“งั้นนายมาจุดก็แล้วกัน”
เด็กน้อยเมื่อได้รับภารกิจก็ดีอกดีใจเป็นการใหญ่
เดินมายังด้านหลังของเตาไฟด้วยความกระตือรือร้น ส่วนเด็กที่เหลือก็จ้องมองเธอตาปริบๆ
จิ่งหนิงกลัวว่าพวกเขาจะมาก่อกวน ชี้ไปที่เก้าอี้เตี้ย
“พวกคุณก็อย่ามามุงดูกันอยู่ตรงนี้เลย ไปนั่งรอตรงนั้นเถอะ ไม่นานก็เสร็จแล้ว”
เด็กน้อยเหล่านั้นจึงยอมพยักหน้า เดินไปยังเก้าอี้เตี้ยที่อยู่ด้านข้างและนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
ดีที่จิ่งหนิงเป็นคนมีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก ไม่งั้นแล้วล่ะก็เด็กจำนวนมากล้อมหน้าล้อมหลังเธอเช่นนี้ เธอคงจะรับมือไม่ไหวแน่
ในสถานที่ชนบทแห่งนี้มีข้อจำกัด แน่นอนว่าเธอไม่สามารถแสดงฝีมือการทำอาหารของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่บ้าน เวลาที่เธอว่างไม่มีอะไรทำก็เคยเรียนทำข้าวตังกับป้าเฉินอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จ วันนี้เธอวางแผนที่จะทำอีกครั้งหนึ่ง
เริ่มจากตักข้าวที่อยู่ในโถข้าวขึ้นมาก่อน หลังจากที่ล้างข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็นิ่งจนสุก จากนั้นค่อยนำกลับมาวางในถ้วยแล้วแผ่เป็นแผนกลมๆ แล้วค่อยนำไปจี่ในกระทะด้วยไฟอ่อน
แม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารเรียบๆ แต่ว่าเมื่อจี่ในลำดับขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เด็กพวกนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตะกะจนน้ำลายไหล
แต่ละคนจ้องมองไปในหม้อตาไม่กะพริบ ลูกตาแทบจะถลนออกมา
จิ่งหนิงมองดูด้วยความขำขัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเอ็นดูด้วยความปวดใจ
เด็กเหล่านี้ น่าสงสารจริงๆ
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าปกติพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร แต่ในสภาพหมู่บ้านเช่นนี้ที่ขาดแคลนทรัพยากร ความสุขของเด็กๆก็มักจะขาดแคลนเช่นเดียวกัน
ไม่นานจิ่งหนิงก็ทำข้าวตังเสร็จเรียบร้อย
ดูดีครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรสชาติ
เธอแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นยิ้มและถามพวกเขาว่า:“ใครอยากกินบ้าง?อยากกินก็ยกมือขึ้น”
เด็กกลุ่มหนึ่งรีบตะโกนร้องแล้วยกมือขึ้นทันที
บ้างก็ตื่นเต้นจนถึงกับกระโดดออกมาจากเก้าอี้
จิ่งหนิงยิ้มพลางคีบให้กับพวกเขาทีละชิ้นๆ ขณะที่ส่งให้พวกเขาก็กำชับขึ้นว่า“ระวังร้อนนะ เป่าก่อนนะค่อยกิน”
ในที่สุดเด็กๆก็ได้ชิมอาหารรสเลิศที่ตนรอคอย แต่ละคนกินอย่างมีความสุขจนต้องหรี่ตาขึ้น
และรู้สึกดีกีบจิ่งหนิงมากขึ้นเรื่อยๆ
จิ่งหนิงมองดูพวกเขากินจนหมด และตนเองก็ชิมไปหนึ่งชิ้น จากนั้นเมื่อแบ่งส่วนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกจากห้องครัว
ด้านนอกเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูพักหนึ่ง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเด็กน้อยเหล่านั้นตามออกมา อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น
“ข้าวตังไม่มีแล้วนะ แม้พวกคุณจะตามฉันมา ฉันก็ไม่ทำแล้วล่ะ”
คิดไม่ถึงเลยว่า เด็กกลุ่มนั้นจะส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ได้ทำเพื่อข้าวตัง”
จิ่งหนิงรู้สึกแปลกใจ“แล้วพวกคุณทำเพื่ออะไรล่ะ ถึงตามฉันมา?”
คนที่ก่อนหน้านี้ถูกเลือกให้จุดไฟ ซึ่งเป็นเด็กที่อายุมากหน่อยพูดขึ้นว่า:“เป็นเพราะป้าอะฮัวให้พวกเรามาดูแลคุณ กลัวว่าคุณจะหนีไปคนเดียว”
จิ่งหนิงตะลึงงัน
และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในใจถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ
แต่ว่า เธอก็คิดแค่ว่าป้าอะฮัวคงหวังดีก็แค่นั้น จึงยิ้มแล้วพูดว่า:“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง วางใจเถอะ ฉันไม่หนีหายไปไหนหรอก”
ชะงักสักพักก็พูดขึ้นว่า:“ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม พวกคุณสามารถติดตามฉันได้ แต่ต้องพาฉันไปเดินรอบๆหมู่บ้าน ได้ไหม?”
เด็กพวกนี้กินอาหารของเธอไปแล้ว และยังรู้สึกว่าพี่สาวคนสวยคนนี้ทั้งอ่อนโยนทั้งว่าง่าย ซึ่งเดิมทีก็รู้สึกดีกับเธออยู่แล้ว
เมื่อคิดถึงคำพูดของป้าอะฮัวก่อนที่จะออกจากบ้าน หล่อนพูดเพียงว่าให้พวกเขาดูแลเธอ ไม่ได้บอกว่าไม่อนุญาตให้เธอออกไปข้างนอก
ดังนั้นทุกคนก็ต่างรับปาก
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น ก็พาเด็กเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน
หมู่บ้านมีขนาดไม่เล็กเลย หากอยู่ในสถานที่แห่งอื่นก็คงจะมีขนาดพอๆกับตำบลหนึ่ง
แต่อาจเป็นเพราะอยู่ในชนบท บ้านแต่ละหลังเรียงไปตามยาว ช่วงระยะห่างของบ้านแต่ละหลังห่างกันค่อนข้างมาก เงียบสงบและเปล่าเปลี่ยว ดังนั้นแม้ว่าพื้นที่จะขนาดใหญ่แต่ก็กลับไม่ทำให้คนรู้สึกว่าครึกครื้น
เมื่อมีเด็กๆช่วยนำทางให้จิ่งหนิง ไม่นานก็เดินจนรอบหมู่บ้าน
เวลาผ่านไปเกือบจะบ่ายสามโมง จึงกลับมาถึงบ้านของป้าอะฮัว
เมื่อกลับมาป้าอะฮัวก็กลับมาจากบนภูเขาและถึงบ้าน
อาจจะเป็นเพราะเมื่อกลับมาแล้วไม่พบเธอ ก็เลยออกไปสอบถามชาวบ้านละแวกใกล้ จึงรู้ว่าเธอพาพวกเด็กๆออกไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ก็เลยไม่ได้เป็นกังวล
เมื่อเห็นเธอกลับมา ก็ยิ้มอย่างเบิกบานพลางถามขึ้นว่า:“เดินเล่นกลับมาแล้วเหรอ?เป็นยังไงบ้าง?หมู่บ้านของพวกเราใหญ่ใช่ไหม”
จิ่งหนิงยิ้มพลางพยักหน้า “ใหญ่มากเลยค่ะ”
หยุดชะงักครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณเพิ่งลงเขามา?เหนื่อยไหมคะ?ให้ฉันช่วยรินน้ำให้ไหม?”
ป้าอะฮัวโบกมือ“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันรินเอง”
ขณะที่พูด ตนก็เดินไปรินน้ำแล้วเดินออกมานั่งที่แท่นหินหน้าประตู ขณะที่ดื่มน้ำก็มองเธอไปด้วยแล้วเอ่ยขึ้นว่า:“คนที่ส่งไปถามข่าวให้คุณที่บ้านของลุงสี่ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะกลับมา สามีของฉันก็จะกลับมาพร้อมกับพวกเขา เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะรู้ว่าคนๆนั้นใช่เพื่อนนของคุณไหม”
จิ่งหนิงตะลึงงันพลางเลิกคิ้วขึ้น
ก่อนหน้านี้เห็นป้าอะฮัวอยู่บ้านเพียงคนเดียว เธอก็เลยคิดว่าหล่อนไม่มีสามี
แม้ว่าในใจจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น แต่ด้วยเหตุผลประการที่หนึ่งคือไม่คุ้นเคย ประการที่สองก็คือวัฒนธรรมประเพณีก็ไม่เหมือนกัน เธอจึงยากที่จะถาม
ตอนนี้จึงเพิ่งรู้ว่า เดิมทีหล่อนนั้นก็มีสามีเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จิ่งหนิงยิ้มแล้วรีบพูดขึ้นว่า:“ขอบคุณมากนะคะ”
ป้าอะฮัวโบกมือ หลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จก็ลุกขึ้น
“คุณไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ช่วงเวลานี้คุณก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ หากหญิงสาวคนนั้นเป็นเพื่อนของคุณจริงๆ เดี๋ยวหล่อนก็มาหาคุณเอง”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วเดินตามหล่อนเข้าไป
ฤดูกาลนี้ ฟ้ามืดเร็วมาก
ตอนกลางคืนแสงสว่างของหมู่บ้านไม่ค่อยสะดวกสบายมากนัก ดังนั้นโดยปกติแล้วจึงรับประทานอาหารเย็นค่อนข้างเร็ว
บ่ายสี่โมงเย็น ก็เริ่มเตรียมอาหารเย็นแล้ว
อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้สามารถของหล่อนกลับมาป้าอะฮัวจึงจัดเตรียมอาหารเย็นไว้หลากหลายเป็นพิเศษ
แล้วยังไปที่สระน้ำด้วยตนเอง เพื่อจับปลามาสองตัว