ขณะที่กำลังจัดการกับปลา หล่อนก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ปลาในสระนี้ฉันเป็นคนเลี้ยงไว้เอง ตัวอ้วนและน่าอร่อยมาก เย็นนี้ฉันจะแสดงฝีมือเอง คุณก็ลองชิมดูแล้วกัน”
จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท และช่วยหล่อนทำปลาจนเสร็จ จากนั้นก็เริ่มจุดไฟทำกับข้าว
เธอจุดไฟไม่เป็น และไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับฟืน
ดังนั้นป้าอะฮัวจึงไม่ได้ให้เธอทำ แต่เมื่อเห็นว่าเธอคิดอยากจะช่วยทำจริงๆ จึงให้เธอไปล้างผักด้านข้าง
ขณะที่จิ่งหนิงช่วยหล่อนล้างผัก ก็ฟังหล่อนพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว เมื่อวานลืมถามคุณ พวกคุณทำไมถึงได้มาที่นี่ได้ล่ะ?”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปาก ล้างผักที่อยู่ในมือจนสะอาด จากนั้นวางลงในตะกร้าที่อยู่ข้างๆ
ผ่านไปสองวินาที จึงตอบว่า“ท่องเที่ยว รถพลิกคว่ำ ไม่ทันระวังเลยตกลงมา”
ป้าอะฮัวหันศีรษะเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“โธ่ อันตรายมากเลย”
จิ่งหนิงยิ้ม
“แต่วันนั้นฉันเห็นคุณแบกร่มชูชีพไว้ที่หลังหนิ!”
จิ่งหนิงนิ่งเงียบ
รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
จริงๆเลย ต้องโทษตัวเองที่ความจำไม่ดี เลยลืมเรื่องนี้สนิทเลย
เธอจึงทำได้เพียงหาข้ออ้าง “อืม ตอนนั้นเตรียมที่จะกระโดดร่มจากภูเขา ก็เลยขึ้นรถขึ้นไปที่ยอดเขา ระหว่างทางรถจึงได้พลิกคว่ำ?”
เมื่อป้าอะฮัวเห็นเช่นนั้น ก็หวาดกลัวจนต้องเอามือกุมที่หน้าอก
“อูย วัยรุ่นอย่างพวกคุณ ทำไมถึงได้ไม่เห็นความสำคัญของชีวิต ชอบเล่นกีฬาอะไรที่หวาดเสียวแบบนี้”
ผ่านไปสักพักก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า:“ถ้างั้นครั้งนี้คุณมาเที่ยวกับเพื่อนแค่สองคนเหรอ?แล้วยังมีคนอื่นอีกไหม?”
จิ่งหนิงมองไปที่หล่อน และพูดเท็จตามสัญชาตญาณออกมาว่า“ยังมีอีกคนหนึ่ง แต่ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน”
“ผู้ชายเหรอ?”
“อืม”
ป้าอะฮัวนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาครู่หนึ่ง
ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จิ่งหนิงมองความคิดของหล่อนไม่ออก แต่เป็นเพราะต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก อีกทั้งยังถูกตามฆ่า ก็เลยระแวดระวังเป็นพิเศษก็เท่านั้น
เธอรู้ดีว่า การที่ตนทำเช่นนี้ดูใจร้ายเกินไป
แต่การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาดป้าอะฮัวจึงฝืนยิ้มออกมา“หากเพื่อนของคุณคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะตามหาคุณเช่นกัน คุณจะให้พวกเช่วยคุณตามหาไหมล่ะ?”
จิ่งหนิงยิ้มอ่อน“ดีเลย”
หลังจากนั้นป้าอะฮัวก็ถามขึ้นอีกหลายคำถาม
ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนของเธอหน้าตาเป็นยังไง เธอทำงานอะไร อายุเท่าไร่ ที่บ้านมีใครบ้าง
ยิ่งหล่อนถามละเอียดมากเท่าไหร่ จิ่งหนิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
และด้วยเหตุผลนี้ เธอจึงไม่ได้บอกข้อมูลตามความเป็นจริงกับหล่อน
จริงพูดขึ้นอย่างจริงบ้างเท็จบ้างเพื่อให้ผ่านไป
ตอนที่เธอบอกว่าเธอมีลูกแล้วสองคนนั้นป้าอะฮัวก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“คุณเป็นแม่คนแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้า“ใช่แล้ว ดูไม่ออกเลยใช่ไหม?”
เธอมองดูท่าทีที่เป็นไปตามธรรมชาติ
ป้าอะฮัวขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้า“ดูไม่ออกเลย”
ขณะที่พูดก็อุทานขึ้นมาว่า“คนเมืองอย่างพวกคุณ ดูแลตัวเองดี อายุยี่สิบเจ็ดแล้วดูเหมือนคนอายุสิบเจ็ด หากคุณไม่บอก ฉันคิดว่าคุณเป็นสาวน้อยที่กำลังเรียนจบมหาวิทยาลัยเสียอีก”
จิ่งหนิงยิ้มไม่ได้พูดต่อ
ทั้งสองก็พยายามหาเรื่องคุยกันไปมาจนกระทั่งทำอาหารเย็นเสร็จ
ขณะที่ฟ้าเริ่มมืด ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก
เด็กน้อยกลุ่มนั้น หลังจากที่ป้าอะฮัวกลับมาก็ต่างแยกย้ายกันไป
ดังนั้น เสียงฝีเท้าในเวลานี้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเสียงของสามีของเธอ
เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อทั้งสองคนออกมาจากห้องครัว ก็เห็นผู้ชายรูปร่างบึกบึน ผิวคล้ำเดินจากด้านนอกเข้ามาข้างใน
“ที่รัก คุณกลับมาแล้วเหรอคะ!”
ป้าอะฮัวเดินเข้าไปรับด้วยความดีใจ ฝ่ายตรงข้ามถอนหายใจ สายตามองไปยังจิ่งหนิงที่อยู่ด้านหลัง
แววตาเป็นประกายเล็กน้อย
“ผู้หญิงคนนี้คือ……”
“นี่คือสาวน้อยเสี่ยวชี มาเที่ยวกับเพื่อน ไม่ทันระวังรถพลิกคว่ำ ตอนนั้นฉันพบเธอพอดีก็เลยช่วยเธอไว้”
ขระที่เธอพูดก็พยุงชายคนนั่งลงที่โต๊ะข้างๆอย่างเอาใจใส่ พลางถอดเสื้อคลุมของเขาออกไปตาก และถามเขาว่า:“หิวแล้วใช่ไหมเดี๋ยวฉันจะตั้งโต๊ะตอนนี้”
ชายหนุ่มโบกมือพลางพูดขึ้นว่า:“ไม่ต้องรีบหรอก ลุงสี่และพวกกลับมาแล้ว เดี๋ยวผมจะออกไปหาพวกเขาสักหน่อย”
ป้าอะฮัวนิ่งเงียบ ตะลึงงันเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจ
แต่ว่าวินาทีต่อมา สายตาก็หรี่ลง
“ได้ ได้ ได้ ถ้างั้นพวกฉันรอพวกคุณกลับมาก่อนค่อยเอาอาหารขึ้นโต๊ะ ”
ชายผู้นั้นพยักหน้า สายตามองไปยังจิ่งหนิงอีกครั้ง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจิ่งหนิงรู้สึกไปเองหรือเปล่า เธอมักจะรู้สึกว่าสายตานั้นที่มองเธอดูโจ่งแจ้งเกินไป
จากนั้นก็ได้ยินฝ่ายตรงข้ามหัวเราะ:“มาเที่ยวที่นี่ กล้าจริงๆ ถือเสียว่าคุณกับเพื่อนของคุณโชคดีมากๆที่เจอกับพวกเรา ไม่งั้น……ฮึ”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินเขาพูดว่า“เพื่อนของคุณ”จู่ๆก็รู้สึกประหม่า
“คุณเคยเจอเพื่อนของฉันเหรอคะ?”
ชายวัยกลางคนหยิบบุหรี่ออกมาจากข้างหลัง จากนั้นก็ยัดเส้นยาสูบเข้าไปข้างใน จุดไฟแล้วสูบพลางพูดขึ้นว่า:“ทำไมจะไม่เคยเจอล่ะ?เป็นสาวน้อยที่สวยเลยทีเดียว ขาหักทั้งสองข้าง ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่บ้านของลุงสี่รอให้ผ่านไปสักพักให้บาดแผลของหล่อนดีขึ้นเสียก่อน พวกคุณค่อยเจอกันล่ะกัน”
จิ่งหนิงไม่พูดไม่จา รู้สึกประหม่า
ในขณะเดียวกัน ในใจก็เริ่มเป็นกังวล
เธอรีบพูดขึ้นว่า:“ไม่ต้องรอให้บาดแผลของเธอหายหรอก ฉันสามารถไปพบเธอได้ตอนนี้เลย”
ชายผู้นั้นหรี่ตาเล็กน้อย สูบบุหรี่ไปด้วยมองเธอไปด้วย
ในเวลานั้น ก็ส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ได้ หมู่บ้านนั้นไม่ยอมให้คนนอกเข้า เพื่อนของคุณถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ในเมื่อทำผิดกฎแล้วครั้งหนึ่ง จะทำผิดครั้งที่สองไม่ได้”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงขรึมลง“คุณรอก่อนดีกว่า”
รู้ทั้งรู้ว่าโม่หนานอยู่ที่ไหน แต่กลับไม่ได้เจอกัน
จิ่งหนิงจะทนรอได้ยังไงกัน?
จู่ๆเธอก็ร้อนใจขึ้นมา“ทำไมถึงไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า?พวกคุณก็เห็นแล้วว่า ฉันก็เป็นคนตัวคนเดียว ไม่ได้มีอันตรายอะไร อีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีไฟฟ้า ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะส่งข่าวให้กับคนข้างนอกทราบ แล้วพวกคุณจะระแวดระวังฉันไปทำไม?”
เมื่อเธอเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมา ก็ทำให้ชายคนนี้ตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด
เส้นยาสูบที่อยู่ในบุหรี่ซิการ์กำลังเผาไหม้ พร้อมทั้งส่งเสียงเบาๆออกมา นอกจากนี้ ห้องทั้งห้องก็เงียบลงและไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ผ่านไปสักพัก จึงได้ยินเขาพูดว่า:“ก็ได้ ในเมื่อคุณพูดเช่นนี้ เดี๋ยวสักพักผมจะพาคุณไปพบกับลุงสี่ หากเขาเห็นด้วย ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าคุณจะไป”
ในตอนนี้จิ่งหนิงจึงค่อยคลายความกังวลลง
เม้มริมฝีปาก และสุดท้ายก็เอ่ยขอบคุณ“ขอบคุณมากนะคะ”
ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไรออกมา เพียงแต่ขณะมากมาที่ยังสายตานั้นแฝงไว้ด้วยการถากถาง