จิ่งหนิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สายตาเช่นนั้นของเขาหมายความว่าอย่างไร
ตนเองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มากเกินไป เธอไม่เข้าใจเลยว่า รอยยิ้มเสียดสีเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
เพียงแต่ความรู้สึกไม่สบายใจภายในใจนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
บวกกับกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้เลยจริงๆว่ากลุ่มคนที่ตามฆ่าพวกเธอบนเครื่องบินนั้นเป็นใครกันแน่
นักฆ่าที่หลบซ่อนอยู่ หมู่บ้านชนบทที่แปลกประหลาด รวมทั้งกลุ่มคนที่ไม่ชัดเจนพวกนี้ ……
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เส้นประสาทของเธอตึงเครียด ไม่มีทางที่จะผ่อนคลายลงได้เลย
ดีที่ผู้ชายคนนี้ พูดคำไหนคำนั้น
รับปากเธอว่าจะพาไปพบกับ“ลุงสี่”คนในตำนาน ก็พาเธอไปพบเขาจริงๆ
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใหญ่บ้าน ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้กินข้าวเย็น มุ่งตรงไปหาเขาทันที
บ้านของผู้ใหญ่บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เดินเท้าไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว
ยังไม่ทันได้เดินเข้าไป ก็เห็นแสงสว่างจากคบเพลิงอยู่ภายในบ้านดินขนาดค่อนข้างใหญ่
ด้านนอกมีกองไฟที่กำลังเผาไหม้ขนาดใหญ่อยู่กองหนึ่ง ด้านนอกมีโต๊ะสองสามตัว มีคนนั่งเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่ากำลังมีงานเลี้ยงอยู่
เมื่อเห็นเขาเดินเข้าไป ก็มีคนโบกมือเรียกทันที“เฮ้เอ้อจ้วงมาแล้ว!”
ผู้ชายรับคำและพาจิ่งหนิงไปยังเบื้องหน้าของชายวัยกลางคนมีผมหงอกบ้างเป็นบางส่วนผิวดำมันเยิ้ม
“นี่ คนๆนี้ก็คือลุงสี่”
ขณะที่เขาพูด ก็แนะนำเธอให้กับคนที่ถูกเรียกว่าลุงสี่“ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่เมียของผมช่วยกลับมา บอกว่าอยากจะไปหาเพื่อนของเธอ คุณดูเองละกันว่าจะทำยังไง”
ลุงสี่เหลือบมองเธอสองสามครั้ง ด้วยแววตาเผยประกาย
“ที่แท้ก็คือคุณนี่เอง คนที่ชื่อโม่หนานเป็นเพื่อนของคุณใช่ไหม?”
จิ่งหนิงพยักหน้า
ลุงสี่โบกมือพร้อมกับหรี่ตาลง“วางใจเถอะ เธอสุขสบายดี คุณอยากไปหาเธอเหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้าพลางรีบพูดขึ้นว่า:“อยากค่ะ คุณพาฉันไปพบเธอได้ไหม?”
ชายคนนั้นลูบที่คางพลางพยักหน้า“พาไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า หากคุณต้องการไปกับผมคุณจะต้องปิดตา คุณก็รู้ว่าที่ๆอยู่ไม่ไกลจากพวกเรามักเกิดสงครามบ่อย ๆ พวกเรากลัวสงครามที่พวกเขาก่อขึ้น และไม่ง่ายเลยที่จะหลบมาอยู่ในที่ห่างไกลและสงบสุขขนาดนี้ ไม่อยากให้มีสงครามเข้ามาคุกคามอีก ดังนั้นพวกเราไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด”
“แต่เห็นที่พวกคุณทั้งสองเป็นเพียงผู้หญิงที่บอบบาง ผมก็เลยรับปาก แต่ว่าคุณจะต้องถูกปิดตานะ เพราะไม่งั้นหากคุณออกไปจากที่นี่แล้วแพร่งพรายที่อยู่ของพวกเราแล้วพวกเราจะทำยังไง?เมื่อถึงเวลานั้นความสงบสุขของพวกเราก็คงไม่มีแล้ว”
จิ่งหนิงฟังคำพูดของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงของภาษาถิ่น ลังเลเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ได้ค่ะ ฉันรับปากคุณ”
เมื่อได้ยินเธอรับปาก ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าลุงสี่คนนั้นก็เผยรอยยิ้มที่ลุ่มลึกออกมา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณก็กินข้าวที่นี่เถอะ กินเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้เดินทางไปพร้อมกับพวกเรา คืนนี้พวกเราต้องรีบเดินทางกลับ และพาคุณไปด้วยพอดี”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย“ออกเดินทางตอนกลางคืน ในขณะที่ฉันถูกปิดตาเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่”
“สะดวก สะดวก”
ลุงสี่โบกมืออย่างไม่แยแส“ผมเอาเกวียนมา คุณนั่งบนเกวียน ไม่ต้องเดินเท้าเอง ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว สะดวกมากๆ”
จิ่งหนิงไม่พูดอะไรออกมาจากนั้นก็พยักหน้า
ดังนั้น เธอจึงไม่ได้กลับไปที่บ้านของป้าอะฮัว เธอนั่งลงแล้วรับชามกับตะเกียบที่พวกเขายื่นให้ แล้วลงมือทานอาหารเย็น
สามีของงป้าอะฮัวกับลุงสี่ก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย จากนั้นก็แยกย้าย
ก่อนที่เขาจะจากไป จิ่งหนิงครุ่นคิด และก็ยังรู้สึกละอายใจ
จึงขอบคุณเขาเป็นพิเศษ และฝากเขาขอบคุณป้าอะฮัวด้วย
ไม่รู้ว่าเขาจะคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่อย่างน้อยสองวันที่ผ่านมานี้ป้าอะฮัวก็ดีกับเธอไม่น้อย อีกอย่างพวกเขาก็เป็นคนช่วยเธอไว้
ดูจากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จก็คงออกเดินทางไปพร้อมกับลุงสี่คงไม่ได้กลับไปที่บ้านของป้าอะฮัวแล้ว
และคงไม่มีโอกาสขอบคุณต่อหน้า จิ่งหนิงรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก
เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็เหลือบมามองเธออย่างงุนงงครู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำพูดขอบคุณของเธอเลย แต่กลับแสดงสีหน้าเย้นหยัน
“สาวน้อยเสี่ยวชีไม่ต้องขอบคุณหรอก ขอเพียงแค่คุณไม่เสียใจภายหลังก็พอ เพราะถึงยังไงพวกเราก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่ง่ายเลย ต่อไปพวกคุณก็ใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้ว”
จิ่งหนิงตะลึงงัน และไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขา
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่เหลือเวลาให้เธอได้ครุ่นคิดมากนัก เมื่อพูดจบก็โบกมือแล้วจากไป
หลังจากรอให้เขาจากไป ลุงสี่ก็เรียกให้เธอเข้าไปนั่ง
“สาวน้อยไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก พวกเราต่างก็เป็นเหมือนญาติพี่น้องกัน พวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นปกติอยู่แล้ว ต่อไปเมื่อคุณอยู่ที่นี่นานขึ้น ก็จะรู้เองว่ามันไม่มีอะไรเลย”
จิ่งหนิงฝืนยิ้ม ในใจคิดว่า แต่น่าเสียดายที่พวกเธอคงอยู่ที่นี่ไม่นาน
โม่หนานได้รับบาดเจ็บ รอเพียงให้บาดแผลของเธอหาย แล้วพวกเธอทั้งสองคงจะหาวิธีออกจากที่นี่
สิ่งที่ยากก็คือ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารลุงสี่คนนี้ที่ทุกคนต่างเคารพนับถือยังนั่งแค่เกวียน ดังนั้นก็คงหมดหวังกับยานพาหนะแล้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จิ่งหนิงก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัว
แต่ว่าตอนนี้ในเวลานี้ คงไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องนี้
ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ขอให้ได้พบกับโม่หนานก่อนก็แล้วกัน
เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
ไม่นาน จิ่งหนิงก็กินอาหารเย็นเสร็จ
ลุงสี่กินค่อนข้างช้าหน่อย ระหว่างที่กินก็พูดคุยและดื่มเหล้ากับพวกผู้ชายที่ร่วมโต๊ะไปด้วย
แม้ว่าในใจของจิ่งหนิงจะรู้สึกร้อนใจ แต่ว่าก็ไม่กล้าเร่งรัด ทำได้เพียงนั่งรออยู่ข้างๆ
กระทั่งเวลาประมาณสองทุ่ม จึงเห็นเขาลุกขึ้นจากโต๊ะ ยิ้มพลางโบกมือให้กับพวกเขา
“โอเค ผมไปก่อนนะ พวกตุณไม่ต้องส่งหรอก ครั้งหน้าเจอกัน แล้วรวมตัวกันใหม่”
ขณะที่พูดก็โบกมือเค้าเมาสะลึมสะลือให้กับพวกเขาด้วย
ชายหนุ่มที่ร่วมเดินทางด้วยกัน พยุงลุงสี่ไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“ลุงสี่ระวังหน่อยครับ เดี๋ยวผมจะพยุงคุณออกไปนะครับ”
ลุงสี่พยักหน้า คนจำนวนหนึ่งจึงค่อยๆเดินออกไปข้างนอกอย่างโซเซ
เกวียนที่พวกเขาพูดถึงก็คือ ด้านหน้าใช้ควายหนึ่งตัวนำทาง ด้านหลังทำเป็นตู้โดยสารอย่างง่าย
ดูเหมือนกับรถม้าในสมัยโบราณ
ชายหนุ่มพยุงลุงสี่เข้าไปนั่งก่อน จากนั้นพูดกับจิ่งหนิงว่า:“คุณเข้าไปนั่งในตู้โดยสารเถอะครับ จะได้ช่วยผมดูลุงสี่ด้วย เขาดื่มเหล้าจนเมาแล้ว เดี๋ยวผมจะเป็นคนขับที่นั่งอยู่ข้างหน้าเอง”
จิ่งหนิงพยักหน้า แล้วพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งในตู้โดยสาร
ตู้โดยสารถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีที่นั่งทั้งสองข้าง
ในเวลานี้ ลุงสี่นั่งอยู่บนที่นั่งด้านซ้ายมือ เนื่องจากตอนเย็นดื่มเหล้าค่อนข้างมาก ดังนั้นในเวลานี้จึงเมาจนเคลิ้มหลับไป
จิ่งหนิงเดินมายังที่นั่งทางด้านขวาแล้วนั่งลง ไม่นานเกวียนก็เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
เกวียนค่อยๆขยับไปตามทางภูเขาที่ไม่ราบเรียบ เสียงของล้อดังเอี๊ยดๆ เมื่อได้ฟังก็ทำให้รู้สึกได้ว่าความเร็วไม่มากนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งหนิงนั่งเกวียน นอกจากความแปลกใหม่แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกสบายมากนัก