ห้องขนาดไม่ใหญ่นัก ทุกที่ล้วนผุพัง แม้แต่ผ้าห่มที่อยู่บนเตียงก็ยังขาด
แต่ก็ดีกว่าห้องดินเล็กๆที่เปียกชื้นของบ้านป้าอะฮัวมาก
หลังจากที่เข้าไปในห้อง โม่หนานก็ค่อยๆปิดประตูอย่างระมัดระวัง แล้วใช้หูแนบฟังที่หน้าประตูสักครู่
จนมั่นใจว่าด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว พวกเขาทั้งสองลงไปพักผ่อนข้างล่างแล้ว จึงค่อยๆคลายลมหายใจลง จากนั้นก็พาจิ่งหนิงกลับขึ้นไปนั่งบนเตียง
“ขอฉันดูหน่อย คุณเป็นยังไงบ้าง?ครั้งนี้ฉันตกใจแทบแย่ คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนฉันตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นคุณ ฉันเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน!”
ขณะที่โม่หนานพูดก็เริ่มสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
จิ่งหนิงยอมให้เธอสำรวจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขวางมือของเธอไว้ พลางพูดขึ้นว่า:“ฉันไม่เป็นอะไร คุณต่างหาก ได้ยินว่าขาได้รับบาดเจ็บ เป็นยังไงบ้าง?ร้ายแรงไหม?”
เมื่อสักครู่นี้ตอนที่เธอเข้ามาก็สังเกตเห็นขาซ้ายของโม่หนานกะโผลกกะเผลก บริเวณขากางเกงบวมเป่ง
โม่หนานพูดขึ้นว่า:“ฉันไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ตอนโดดลงมาไม่ทันระวังกระแทกกับหินภูเขา ขาก็เลยหัก และต่อมาพอได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา ไม่มีอะไรร้ายแรงมาก รักษาตัวสักพักก็หายแล้ว”
เมื่อจิ่งหนิงได้ฟังดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าคงไม่ใช่บาดแผลเล็กๆ
เพราะถึงกับขาหัก ไม่ใช่แค่เคลื่อนที่ โบราณกล่าวได้ดีมาก หากกระดูกหักต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว การที่โม่หนานพูดเช่นนี้ก็เพราะกลัวเธอจะเป็นห่วงตนก็เท่านั้น
เธอนิ่งเงียบพลางลูบที่มือของเธอแล้วพูดขึ้นว่า:“รักษาตัวให้หายดีก่อนดีกว่า ถึงยังไงตอนนี้เราก็ได้เจอกันแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากัน เดี๋ยวก็คงหาทางออกจากที่นี่ได้เอง”
โม่หนานพยักหน้า
ดึกแล้ว ทั้งสองไม่ได้นั่งแล้ว แต่กลับนอนห่มผ้าอยู่ด้วยกันบนเตียง
นี่เป็นช่วงเวลาที่หลายวันมานี้จิ่งหนิงรู้สึกสบายใจที่สุด
ราวกับว่าเมื่อมีโม่หนานอยู่ข้างกาย ต่อให้สถานการณ์อันตรายขนาดไหน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอันตรายขนาดนั้นแล้ว
หลังจากนั้น ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
จิ่งหนิงและโม่หนานพูดถึงหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ รวมถึงสถานการณ์ต่างๆในหมู่บ้าน
เช่นเดียวกัน โม่หนานก็เล่าสถานการณ์ของที่นี่
เธอถึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เรียกว่าหมู่บ้านอะซื่อห่างไกลและถูกปิดกั้นกว่าหมู่บ้านหมู่บ้านอะฮัวที่เธออยู่มาก
ไม่เพียงแต่ไม่มียานพาหนะในการเดินทางที่สะดวกสบาย ทั้งยังไม่มีเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร คนที่นี่ในหนึ่งปีน้อยครั้งมากที่จะออกไปข้างนอก
พวกเขามีความต้องการอะไร ส่วนใหญ่แล้วก็จะพยายามเลี้ยงตัวเองให้ได้
หากในหมู่บ้านไม่มีจริงๆ ก็จะไปหาซื้อในร้านขายของชำที่อยู่ห่างจากที่นี่สิบกว่ากิโล ให้เถ้าแก่ของร้านนั้นออกไปซื้อ
ผลผลิตทางการเกษตรชนิดไหนในหมู่บ้านที่พอจะมีราคา ก็จะนำไปรวมไว้ขายที่นั่น
สถานการณ์ของหมู่บ้านปิดก็เป็นเช่นนั้น โม่หนานอาศัยอยู่ที่นี่เพียงระยะเวลาสั้นๆสองวันก็ได้เจอกับอะไรบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจพอสมควร
ซึ่งก็คือ หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมาก
ไม่เพียงแค่นั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ตอนที่เธอถูกช่วยออกมาจากหน้าผาหิน เธอนั้นได้สติตั้งนานแล้ว
ดังนั้น ตลอดทางที่ถูกแบกมา เธอเห็นทุกครอบครัวที่ผ่านมาอย่างชัดเจน รวมทั้งสีหน้าท่าทางของผู้คนในนั้น
พวกเขามองมาที่เธอ ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดที่มาจากต่างถิ่น
สายตาที่เต็มไปด้วยความงงงวย ไม่ค่อยพูดจา แม้กระทั่งแววตาที่ปะปนความรู้สึกสงสาร ทำให้โม่หนานรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เพียงแต่เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้มองเธอเช่นนั้น
สองวันมานี้ เนื่องจากขาได้รับบาดเจ็บ ทำให้ไม่เดินออกไปข้างนอกไม่สะดวก
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกจากบ้าน แต่สายตาของลุงสี่กับภรรยาของเขาก็ทำให้เธอแทบทนไม่ไหวแล้ว
สาเหตุก็เป็นเพราะสายตาของคนคู่นั้น ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
โม่หนานมักจะรู้สึกว่า เวลาที่พวกเขามองตน เหมือนไม่ได้กำลังมองคนๆหนึ่ง
เหมือนกำลังมองสินค้าที่มีราคา เป็นเพียงสัตว์……ตัวหนึ่ง
เธอไม่สมารถอธิบายแววตานั้นได้ เพียงแต่รู้สึกว่าความรู้สึกนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเป็นพิเศษ และรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเธอจึงรอจิ่งหนิงมาโดยตลอด
เมื่อทั้งสองได้มาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว จะต้องช่วยกันคิดจนหาทางออกที่ดีๆได้แน่
หลังจากที่จิ่งหนิงฟังจบ ก็รู้ว่าที่แท้คนที่รู้สึกแบบนี้ไม่ใช่แค่เธอเพียงคนเดียว
ตอนที่เธออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอะฮัวก็รู้สึกว่าหมู่บ้านนั้นแปลกๆ
แม้ว่าป้าอะฮัวจะเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอ ดูเหมือนจะปรารถนาดีต่อเธอ แต่ในความเป็นจริงกลับให้เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าเธอแล้วยังพูดแปลกๆอีกว่า กลัวว่าเธอจะหนีหายไป
หากยังไม่พูดถึงเรื่องที่เธอจะหนีหายไป คนปกติเมื่อมายังสถานที่แห่งใหม่ที่ตนไม่คุ้นเคย ก็คงจะไม่เดินสะเปะสะปะไปทั่วใช่ไหม
ดังนั้น เธอมักรู้สึกว่า การที่หล่อนใช้ให้เด็กกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าติดตามเธอนั้นไม่ใช่เพราะหล่อนเป็นห่วงเธอแต่เป็นเพราะต้องการจับตาดูเธอต่างหาก
แต่ว่าเนื่องจากอยู่ในถิ่นของคนอื่น แม้ว่าจิ่งหนิงจะคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
เพราะว่าถึงยังไงนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกไปเอง หากหล่อนไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้วเธอพูดออกไป ก็มีแต่จะเพิ่มความอึดอัดใจไปกันใหญ่?
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าโม่หนานก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองไม่ได้คิดมาก แต่น่าจะเป็นเช่นนั้น
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จิ่งหนิงก็นิ่งเงียบ
เธอมองไปยังสถานที่ว่างเปล่าในความมืดที่อยู่ห่างไกลออกไป จู่ๆก็พูดขึ้นว่า:“โม่หนานหรือว่าพวกเรามาอยู่ในดงของพวกค้ามนุษย์?”
โม่หนานตะลึงงัน
เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ คงไม่มั่ง!”
แม้ว่าโม่หนานจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น
จิ่งหนิงถอนหายใจ
“แต่ก็หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่จากที่สังเกตมาสองวันนี้ บวกกับที่คุณอธิบายเมื่อสักครู่นี้ ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นไปได้”
“ถ้างั้นจะทำยังไงดีล่ะ?”
โม่หนานเดิมทีที่ดูนิ่งเฉย แต่เมื่อได้ฟังในสิ่งที่เธอคาดเดาแล้ว หล่อนก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้แล้ว
หากที่นี่เป็นหมู่บ้านค้ามนุษย์จริง ๆ และถึงแม้พวกเราจะมีศิลปะป้องกันตัว แต่เราทั้งสองไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ แม้แต่ทางออกจากหมู่บ้านก็ยังไม่รู้ ทั้งยังติดต่อกับบุคคลภายนอกไม่ได้ การที่จะหลบหนีออกไปนั้น ช่างยากเย็นแสนเข็ญ
จิ่งหนิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
“ไม่เป็นไร ค่อยๆคิดไปทำไปทีละขั้นเถอะ ฉันคิดว่าตอนนี้ดีที่ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้คิดจะทำร้ายพวกเรา อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเห็นว่าพวกเราเป็นเพียงผู้หญิงสองคนที่ไม่มีทางสู้ จึงไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้ ซึ่งแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเราต้องการเวลา อย่างน้อยก็รอให้คุณรักษาบาดแผลให้หายก่อน”
โม่หนานรู้ดีว่า สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง
ไม่ว่าพวกเขาจะมีที่มาที่ไปอย่างไร และคิดอย่างไรกับพวกเธอ
บาดแผลของเธอในตอนนี้ ก็เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง
แม้จะอยากหนีไป อย่างน้อยก็ต้องรอให้แผลหายก่อน ไม่งั้นก็คงหนีไม่รอด
เมื่อคิดเช่นนี้ เธอก็หลับตาลงเตรียมที่จะพักผ่อน
จิ่งหนิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจกำลังคิดถึงลู่จิ่งเซิน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่
เธอคิดว่าเขาน่าจะทราบข่าวของเธอแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำยังไง?
อยู่ไกลกันหลายพันกิโลเมตร แม้อยากจะช่วยก็คงช่วยไม่ได้ มือของคนๆหนึ่งต่อให้ยืดได้ยาวกว่านี้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะยืดได้ยาวขนาดนั้น