เขาจะหาสถานที่แห่งนี้เจอ แล้วรีบมาช่วยตนไหม?
จิ่งหนิงคิดฟุ้งซ่าน คิดไปคิดมาเปลือกตาก็ค่อยๆปิดลง ผ่านไปสักพัก เธอก็อดไม่ได้ที่จะนอนหลับไป
และในเวลานี้ ในอีกด้านหนึ่ง
ภายในประเทศ
วิลล่าเฟิงเฉียว
ลู่จิ่งเซินไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนแล้ว
ดวงตาของเขาแดงก่ำ นั่งอยู่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์เหมือนกำลังควบคุมอะไรบางอย่างอยู่ในระยะไกล
ใบหน้าที่ไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนเต็มไปด้วยเครารุงรัง เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจึงทำให้ดวงตาถลนเข้าไปข้างใน สีหน้าหม่นหมอง
เมื่อเสียงของโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบรับสาย “เป็นยังไงบ้าง ?ได้ข่าวหรือยัง?”
เสียงทุกข์ใจของสายตรงข้ามซูมู่ดังขึ้น“ขอโทษนะครับท่านประธาน ยังไม่ได้ข่าวเลยครับ”
“ไม่เอาไหน!”
เมื่อเขาโกรธ เส้นเลือดดำบริเวณหน้าผากก็โป่งออกมา
ในเวลานี้ จึงพูดขึ้นว่า:“เก็บข้าวของให้เรียบร้อย ผมจะออกตามหากับพวกคุณด้วย!”
ซูมู่ตกใจ“ท่านประธาน นี่……”
“อย่าพูดมาก!”
ลู่จิ่งเซินแทบจะไม่ให้โอกาสเขาปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย เมื่อพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ลง
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็หยิบเสื้อคลุมที่พาดไว้บนเก้าอี้ แล้วเดินออกไป
ด้านล่างตึกป้าหลิวรวมทั้งคนรับใช้อีกสองสามคน พาจิ้งเจ๋อน้อยและอานอานนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก
เมื่อเห็นเขาลงมา ทุกคนต่างเบิกตากว้างมองไปยังเขาด้วยความหวัง
จิ่งหนิงบอกว่าจะกลับมาตั้งแต่สองวันก่อน แต่กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ถึงบ้าน เรื่องนี้ไม่สามารถปิดบังใครได้เลย
จิ้งเจ๋อน้อย ยังเด็กก็เลยยังไม่เข้าใจอะไร แต่ว่าอานอานโตแล้ว เมื่อเห็นว่าสองวันมานี้ลู่จิ่งเซินนอนไม่ค่อยหลับก็รู้ทันทีว่าคงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
ดวงตาของเธอแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้เมื่อสักครู่นี้ เมื่อเห็นเขาลงมา ก็รีบวิ่งพุ่งไปหาเขา
“แด๊ดดี้!”
เธอพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา กอดขาของเขาแล้วถามขึ้นว่า:“หม่ามี้จะกลับมาไหมคะ?หม่ามี้จะสามารถกลับมาได้ไหมคะ?”
ดวงตาของลู่จิ่งเซินหม่นหมอง
อุ้มเธอขึ้นมา แล้วพูดปลอบใจว่า:“ต้องกลับมาสิ หม่ามี้ของลูกไม่เป็นอะไรหรอก”
“จริงนะคะ?”
“จริงสิ พ่อรับรอง”
ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน เขาก็จะทุ่มสุดชีวิต ยังไงเขาก็จะพาเธอกลับมาให้ได้
อานอานกัดริมฝีปาก สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อเขา พยักหน้าอย่างแรง
“ถ้างั้นหนูรอหม่ามี้อยู่ที่บ้านนะคะ”
“อืม”
ลู่จิ่งเซินปล่อยเธอลง แล้วลูบที่ศีรษะของจิ้งเจ๋อน้อยเพื่อปลอบใจ จากนั้นพูดกับอานอานว่า:“ดูแลน้องชายให้ดี เดี๋ยวแด๊ดดี้จะออกไปข้างนอก ตอนที่แด๊ดดี้ไม่อยู่ต้องเชื่อฟังป้าหลิวนะ อย่าไปไหนเพ่นพ่านล่ะ รู้ไหม?”
อานอานพยักหน้าอย่างแรงอีกครั้ง
ในเวลานี้ลู่จิ่งเซินจึงไปเดินจากไป
หลังจากที่เขาเดินจากไป ผ่านไปไม่นาน ท่านปู่ลู่กับนายหญิงหชินก็มา
ข่าวเรื่องของจิ่งหนิง คนในวิลล่าเฟิงเฉียวต่างทราบกันหมดแล้ว แต่เนื่องจากท่านปู่กับนายหญิงไม่ค่อยได้มาที่นี่ก็เลยไม่ได้ทราบข่าว
ซึ่งเมื่อเช้านี้พวกเขารับโทรศัพท์สายนอก จึงทราบว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับจิ่งหนิง อีกทั้งข่าวที่ได้ดูก่อนหน้านี้ก็ทำให้ทราบว่าเครื่องบินที่จิ่งหนิงโดยสายประสบอุบัติเหตุ และต่อมาก็ได้บินกลับ
อีกทั้งโทรศัพท์ของเธอก็ไม่สามารถติดต่อได้ และไม่มีข่าวคราวเลย โทรศัพท์หาลู่จิ่งเซินก็ไม่มีคนรับสาย
คนแก่ทั้งสองจึงรู้ว่า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
พวกเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบขึ้นรถ แล้วให้คนขับรถพามายังวิลล่าเฟิงเฉียว
แต่สิ่งที่ไม่บังเอิญก็คือ เมื่อพวกเขามาถึงลู่จิ่งเซินก็ออกไปข้างนอกเสียแล้ว ทั้งสามจึงไม่ได้พบหน้ากัน
ดีที่ป้าหลิวอยู่ที่บ้าน เมื่อเห็นท่าทีที่ร้อนรนของท่านปู่และนายหญิง ไม่อยากให้พวกเขาไม่สบายใจจึงได้พูดปลอบขึ้นสองประโยค
เมื่อคนแก่ทั้งสองทราบว่าลู่จิ่งเซินได้ออกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองแล้ว ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความสามารถของลู่จิ่งเซินเราไม่ต้องสงสัยเลย ในเมื่อเขาออกไปจัดการแล้วก็คงไม่หน้าจะมีเรื่องใหญ่ให้ต้องเป็นห่วง
แต่ว่าตอนนี้ที่บ้านมีเด็กน้อยอยู่สองคนท่านปู่กับนายหญิงก็ไม่สามารถที่จะเผยสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงออกมาได้มาก เพื่อไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของเด็กๆ
สุดท้าย จึงฝืนใจรับปากที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ ด้านหนึ่งก็เพื่อดูแลเด็ก ๆ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อรอข่าวของพวกเขา
ในอีกที่หนึ่ง
ในตอนเช้าเมื่อจิ่งหนิงตื่นขึ้นมา ก็พบว่าไม่เจอใครอยู่ข้างกาย
เธอตกใจชั่วขณะ แล้วรีบลุกขึ้นนั่งบนเตียง
และในขณะนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคนผลักประตูจากทางด้านนอก
โม่หนานนำน้ำร้อนหนึ่งแก้วเดินเข้ามา
“คุณตื่นแล้วเหรอ?”
สีหน้าของโม่หนานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ประคองไม้เท้า แล้วนำน้ำร้อนมาวางไว้เบื้องหน้าของเธอ
“ดื่มน้ำร้อนก่อนเถอะ!”
จิ่งหนิงถอนหายใจคลายความกังวลลง ขณะที่ถือน้ำร้อนแก้วหนึ่งเข้ามาก็ถามขึ้นว่า:“ทำไมคุณถึงได้ออกไปข้างนอกคนเดียวล่ะ?เมื่อกี้นี้ตื่นขึ้นมาไม่เห็นคุณ ตกใจหมดเลย”
โม่หนานยิ้ม และไม่ได้พูดอะไร
กระทั่งดื่มน้ำเสร็จ เธอจึงเหลือบมองด้านนอกครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขยิบเข้ามากระซิบที่ข้างหูว่า:“ฉันตื่นเช้า เมื่อกี้ก็เลยใช้โอกาสที่ทุกคนยังไม่ตื่นออกไปดูสักหน่อย ก็เลยพบว่าประตูใหญ่ล็อคกลอนอย่างแน่นหนา มีหน้าต่างที่ห้องครัวบานหนึ่งปิดไม่สนิท ฉันก็เลยเปิดออกดู พบว่าด้านนอกด้านนอกเต็มไปด้วยภูเขา หากพวกเราต้องการจะไปจากที่นี่ คงไม่ง่ายนัก”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“ใช่ ที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่เธอเดินทางมาที่นี่ เธอก็ทราบแล้ว”
เธอเม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง“แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คนที่ตามฆ่าเราบนเครื่องบินก่อนหน้านี้ เป็นใครเราก็ยังไม่รู้ พวกเราถูกขังไว้ที่นี่แม้ว่าจะไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถหลบสายตาพวกเขาได้ ซึ่งก็ถือว่าปลอดภัยไม่น้อย”
โม่หนานไม่พูดอะไร และเห็นด้วยกับความคิดของนี้
“อีกอย่างก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นใช่พวกค้ามนุษย์ไหม!หากเป็นพวกค้ามนุษย์จริงๆพวกเราก็คงจะต้องระวังตัว”
จิ่งหนิงยิ้มที่มุมปาก “ไม่ต้องกลัว อย่างน้อยพวกค้ามนุษย์ก็อยากได้เงินหากเทียบกับนักฆ่าพวกนั้นแล้ว ต่อกรได้ง่ายกว่ามาก”
ที่พูดมาก็ถูก โม่หนานก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน จึงไม่ได้รู้สึกตึงเครียดแล้ว
หลังจากที่พักผ่อนแล้ว ทั้งสองก็ใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วเดินลงมาด้านล่าง
ด้านล่าง ลุงสี่กับภรรยาของเขาก็ตื่นนานแล้วป้าสี่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ในห้องครัว แต่ลุงสี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องสูบบุหรี่
ปีนี้ลุงสี่อายุใกล้จะหกสิบแล้ว ถือเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน และก็เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านแห่งนี้
ส่วนภรรยาของเขา ทุกคนต่างเรียกว่าป้าสี่ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง ปกติมีเรื่องอะไรก็มักจะเชื่อฟังเขา
อิงตามความเข้าใจของโม่หนานในสองวันที่ผ่านมานี้ ได้ยินมาว่าพวกเขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่ตำบลใกล้เคียง
แม้จะบอกว่าอยู่ตำบลใกล้เคียง แต่ในความเป็นจริงแล้วอยู่ไกลมาก อย่างน้อยก็ต้องนั่งเกวียนหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงจะถึง
ไม่สะดวกเลย ดังนั้นลูกชายของเขาจึงน้อยครั้งมากที่จะกลับมา
ปกติทั้งสองคนนี้ก็จะอยู่แต่ที่บ้าน บางครั้งก็ออกไปทำไร่ทำนา ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบ
ลุงสี่ถือว่าค่อนข้างมีบารมีในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเชื่อฟังเขา
ยกตัวอย่างเช่นโม่หนานได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ เดิมทีหมอเท้าเปล่าในหมู่บ้านจะไปรักษาคนป่วยที่หมู่บ้านข้างๆ แต่เนื่องจากเป็นคนไข้ของลุงสี่ก็เลยมารักษาเธอก่อน