หากฟังดูแค่นี้ ก็จะเห็นได้ว่าลุงสี่คนนี้รวมทั้งป้าสี่ก็ดูเหมือนจะเป็นคนดีไม่น้อย
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และยังมีบารมีด้วย อีกทั้งยังชอบช่วยเหลือคนอื่น
แม้ว่านิสัยจะดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่ว่าแต่ละแห่งก็ล้วนมีประเพณีที่แตกต่างกันไป คงไม่สามารถให้ทุกคนเหมือนกันได้
ทำให้จิ่งหนิงยากที่จะตัดสินใจชั่วขณะ
ดีที่ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ได้ทำอะไร แม้ว่าจะมีบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แปลกๆ แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายพวกเธอเกินไป เธอจึงไม่อยากที่จะใส่ร้ายคนอื่น
เมื่อคิดเช่นนี้ ท่าทีของเธอก็ค่อยๆอ่อนลง
เมื่อเดินมายังเบื้องหน้าของลุงสี่ที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ ก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ลุงสี่ อรุณสวัสดิ์!”
ลุงสี่เหลือบหันมามองเธอครู่หนึ่ง หรี่ตาเบาๆพลางพูดขึ้นว่า“อรุณสวัสดิ์ ป้าสี่ใกล้ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว ไปช่วยเธอยกออกมาเถอะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า พยุงโม่หนานที่เดินไม่ค่อยสะดวกนั่งลงที่เก้าอี้ จากนั้นกลับมานั่งในห้องครัว
ในชนบท ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้าหรืออาหารกลางวัน ก็ไม่ได้มีรสชาติที่อร่อยมาก
แม้ว่าจะเป็นอาหารมื้อง่ายๆ ดังนั้นจิ่งหนิงก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
คิดไม่ถึงเลยว่าป้าสี่กลับเป็นผู้หญิงที่ประณีตและเอาการเอางาน อาหารเช้าที่เธอทำไม่เพียงแต่หลากหลายทั้งยังสวยงามอีกด้วย
มีโจ๊กข้าวสาลีที่หอมอ่อนๆ มีหมั่นโถวนึ่ง แล้วก็ยังมีปาท่องโก๋ทอดอีกสองสามเส้น
อาหารเช้าแบบนี้ หากอยู่ในเมือง ก็คงจะเป็นอาหารที่ง่ายและธรรมดามากๆ
แต่เมื่ออาหารเช้าแบบนี้มาอยู่ในที่ที่สามารถกินได้เพียงลวกๆเพื่อปะทังชีวิต ก็ถือเป็นอาหารรสเลิศเลยทีเดียว
จิ่งหนิงมองไปยังปาท่องโก๋และโจ๊กข้าวสาลีที่หอมกรุ่น ดวงตาก็เผยประกายออกมา
ทำให้อดไม่ได้ที่จะชื่นชม:“สวยมากเลย หอมมากเลย!”
ป้าสี่ยิ้มอย่างเขินอาย ราวกับว่าตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชื่นชม
“ก็เป็นแค่อาหารเช้าธรรมดาๆเองค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากพวกคุณไหม พวกคุณก็ลองชิมดูนะคะ”
จิ่งหนิงรีบพยักหน้า แล้วช่วยเธอยกอาหารเช้าออกไป จากนั้นทุกคนก็นั่งล้อมหน้ากันบนโต๊ะ แล้วเริ่มรับประทานอาหาร
ขณะที่รับประทานอาหารอยู่นั้นลุงสี่ก็ถามขึ้นโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่:“ก่อนหน้านี้คุณบอกเพียงว่าชื่อเล่นของคุณคือเสี่ยวชีแล้วชื่อจริงของคุณล่ะชื่ออะไร?”
จิ่งหนิงตะลึงงัน จากนั้นก็ประสานสายตากับโม่หนาน แล้วตอบไปว่า:“ฉันชื่อจิ่งหนิง”
เธอไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม้ตอนนี้จะพูดชื่อจริงของจิ่งหนิงออกไป เธอก็คาดว่าคนที่นี่ก็คงจะไม่เคยได้ยินฉะนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีใครรู้จัก
และก็เห็นลุงสี่พยักหน้าเบาๆอย่างที่คาดไว้ จึงพูดขึ้นว่า:“คนที่บ้านรู้หรือเปล่าว่าพวกคุณออกมาเที่ยว?”
คำถามนี้ถามได้กำกวมมาก
จิ่งหนิงและโม่หนานประสานสายตากัน จากนั้นก็ตอบกลับอย่างเป็นที่รู้กันว่า:“ไม่ทราบค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นบ้านของพวกคุณ ไกลจากที่นี่มากไหม?”
จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ไกลสิ ประมาณหลายพันกิโลได้”
“ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”สีหน้าท่าทางของลุงสี่เป็นประกายเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างเบิกบานและพูดขึ้นว่า:“ถ้างั้นตอนนี้พวกคุณเกิดเรื่อง คนที่บ้านก็ไม่ทราบเรื่องใช่ไหม”
จิ่งหนิงยิ้มและพูดขึ้นอีกครั้งว่า:“ไม่ทราบเรื่องค่ะ เรื่องเกิดอย่างกะทันหัน โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ไม่สามารถแจ้งข่าวพวกเขาได้เลย”
ขณะที่เธอพูด ก็ถามขึ้นอย่างจริงจังประโยคหนึ่งว่า“ลุงสี่ที่นี่มีที่ไหนที่สามารถใช้โทรศัพท์ได้บ้าง ฉันอยากส่งข่าวบอกที่บ้าน”
ลุงสี่ลูบที่คางที่มีหนวดเคราสองสามเส้นพลางพูดขึ้นว่า:“โทรศัพท์เหรอ ค่อนข้างยุ่งยาก จะต้องเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืน ไปยังตำบลใกล้เคียง ที่นั่นมีโทรศัพท์ แต่ว่าก่อนหน้านี้ถนนภูเขาเกิดแผ่นดินถล่ม ถนนถูกตัดขาด ไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราว”
จิ่งหนิงไม่พูดอะไรออกมา และขมวดคิ้วอย่างไม่ขาดระยะ
“แผ่นดินถล่มเหรอ?”
“ใช่ บังเอิญจริงๆ ทางไปตำบลนั้นถูกตัดขาดแล้ว หากพวกคุณต้องการที่จะออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยต้องรอหนึ่งเดือนหลังจากนี้”
จิ่งหนิงและโม่หนานไม่พูดอะไร ต่างก็นิ่งเงียบราวโดยไม่ได้นัดหมาย
ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา ท่าทางหนักอกหนักใจ
เมื่อลุงสี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็หรี่ตายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“พวกคุณก็ไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราก็ต้องออกไปเหมือนกัน ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วถนนเส้นนั้นก็ต้องสามารถใช้งานได้ แต่ปัญหาเป็นเพียงเรื่องของเวลา อีกทั้งสาวขาของสาวน้อยคนนี้ก็ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะหาย ก็คงไปจากที่นี่ในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้”
จิ่งหนิงฝืนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ก็จริง เพียงแต่พวกเราคิดว่าอยู่ที่นี่นานๆจะเป็นการรบกวนพวกคุณเปล่าๆ ซึ่งไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
ลุงสี่รีบโบกมืออย่างรีบร้อน“พวกคุณก็เป็นแค่ผู้หญิงสองคน จะกินกันสักเท่าไหร่เชียว หากรู้สึกผิดละ ก็คอยช่วยอาของเธอทำงานเล็กๆน้อยๆก็แล้วกัน”
เมื่อจิ่งหนิงและโม่หนานเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็คงจะไม่ดีหากพูดอะไรต่อ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับปาก
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จลุงสี่ก็ออกจากบ้าน
จิ่งหนิงและโม่หนานอยู่ช่วยป้าสี่ทำงานที่บ้าน
งานที่ทำก็แค่เก็บถั่วฝักยาว ตากหัวไชเท้าแค่นั้น
หากเปรียบเทียบกับลุงสี่แล้ว จิ่งหนิงและโม่หนานค่อนข้างชอบป้าสี่ ผู้หญิงที่พูดน้อยและพูดง่าย
แม้ว่าภายนอกหล่อนจะไม่มีอะไรแตกต่างจากคนที่นี่
แต่สิ่งที่หล่อนทำ เช่นอาหารเช้าที่ประณีตรวมทั้งบางครั้งที่แสดงท่าทีออกมา ซึ่งแตกต่างจากคนที่นี่อย่างสิ้นเชิง
บางครั้งจิ่งหนิงก็รู้สึกเกิดภาพหลอน
นั้นก็คือ บางทีป้าสี่คนนี้ อาจจะไม่ใช่คนที่นี่ก็ได้
แต่ว่าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะถาม จึงไม่ง่ายเลยที่เธอจะเอ่ยปาก ทำได้เพียงแอบเดาในใจเท่านั้น
เมื่อถึงช่วงบ่ายลุงสี่กลับมาและยังพาหมอเท้าเปล่ากลับมาด้วย
โม่หนานรู้จักหมอเท้าเปล่าคนนั้น ซึ่งก็คือหมอที่รักษาเธอเมื่อครั้งก่อน วันนี้มาเปลี่ยนยาให้กับเธอ
ในสถานที่ชนบทแห่งนี้ คงคาดหวังยาที่ดีเป็นพิเศษไม่ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นยาสมุนไพรที่พวกเขาผสมด้วยตนเอง และใช้วิธีการพยุงดินในการเข้าเฝือกให้กับเธอ
ดีที่ก่อนหน้านี้ที่โม่หนานรับการฝึก มักจะได้รับบาดเจ็บ
เมื่อบาดเจ็บบ่อยเข้า ก็ทำให้ตนกลายเป็นหมอศัลยแพทย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เช่นพวกบาดแผลถลอกภายนอก หรือพวกอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็น เธอก็สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง
ยาชนิดไหนสามารถใช้ได้ ยาชนิดไหนที่ใช้แล้วสามารถทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น เธอรู้หมด
ดังนั้น ขณะที่หมอทำการรักษา เธอก็จะถามสอบเล็กน้อย จากนั้นก็ประเมินว่ายานั้นใช้ได้หรือไม่ได้
ดีที่หมอเท้าเปล่าของที่นี่ค่อนข้างดี ยาสมุนไพรที่ใช้รักษาเธอ เธอล้วนรู้จัก อีกทั้งยังเป็นยาที่ใช้รักษาการหักของกระดูกอีกด้วยป
หลังจากเปลี่ยนยาแล้ว ลุงสี่ก็พาหมอเท้าเปล่าออกไป
ป้าสี่หยิบผ้าขนหนูสะอาดผืนหนึ่งเข้ามา หลายวันมานี้โม่หนานมักรบกวนหล่อนให้หยิบของให้บ่อยๆ รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก หลังจากขอบคุณแล้วก็รั้งเธอไว้แล้วคุยเล่นสองสามประโยค
“เมื่อสักครู่นี้ฉันเห็นคุณกำลังถักสร้อยข้อมืออยู่ มันคืออะไรเหรอ?”
ป้าสี่ไม่พูดไม่จา พลางหยิบเชือกสีแดงที่ถักไว้ครึ่งหนึ่งในกระเป๋าออกมา
“คุณหมายถึงสิ่งนี้ใช่ไหม?”
โม่หนานพยักหน้า
เห็นเพียงเชือกสีแดงที่ถักเป็นสร้อยข้อมืออย่างเป็นระเบียบและประณีต สวยงามเป็นอย่างมาก