เมื่อจิ่งหนิงหัวเราะจนพอแล้ว ถึงหยุดหัวเราะแล้วพูดว่า“แกคิดจริงหรือ ว่าเราเพียงแค่เอาชนะสองสามีภรรยาชั้นล่างเท่านั้น ก็จะสามารถหนีออกไปได้หรือ”
โม่หนานกะพริบตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่า เธอคิดเช่นนี้จริง
จิ่งหนิงส่ายหัว
“ไม่ แกคิดผิดแล้ว ถึงแม้เราจะเอาชนะพวกเขาได้ แล้วใช้เชือกมัดพวกเขาไว้ในบ้าน ให้พวกเขาไม่สามารถไล่ตามเราได้อีก เราก็หนีไม่พ้น”
“ทำไมหรือ”
จิ่งหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้พูดยาก ดังนั้น เธอจึงเล่าเรื่องตอนที่เธออยู่หมู่บ้านอะฮัวว่าป้าอะฮ้วสั่งให้เด็กๆกลุ่มนั้นมารังแกเธออย่างไร
“แกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่ในมือลุงสี่ แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งหมู่บ้านใกล้เคียงหลายหมู่บ้านล้วนเป็นพวกเดียวกัน”
“ถ้าเราหายออกไปจากที่นี่ปุ๊บ ทางด้านหลัง ลุงสี่พวกเขาจะต้องวิ่งออกมาร้องตะโกนบอก แล้วคนหลายหมู่บ้านใกล้เคียงก็จะเคลื่อนไหวออกมาช่วยพวกเขาตามจับพวกเรา ”
“แกมีกำลังโค่นลุงสี่ป้าสี่ แต่จะมีกำลังโค่นคนเป็นสิบเป็นร้อยได้ไหม ถึงแกจะมี ภูมิประเทศที่ซับซ้อนเช่นนี้ เราไม่รู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหน หากยิ่งหนียิ่งออกนอกเส้นทางไปจะทำเช่นไร เราจะหิวตายกระหายตายไม่ได้ใช่ไหม”
โม่หนานครุ่นคิดตาม รู้สึกว่ามีเหตุผลเหมือนกัน
แล้วเธอก็ถอนหายใจเฮือก
“แต่ฉันก็ยังคิดว่านานเกินไปที่จะรออีกหนึ่งเดือน ยิ่งอยู่นานปัญหายิ่งเยอะ ฉันรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ”
จิ่งหนิงรู้ว่า ความกังวลของเธอไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะได้ยินลุงสี่คุยกับชายคนนั้นว่า รออีกหนึ่งเดือน
แต่ในความเป็นจริง สุดท้ายแล้วพวกเขาจะทำอย่างนั้นหรือเปล่า ใครก็ไม่อาจรู้ได้
ตอนนี้เขาเป็นมีดเราเป็นปลาเป็นเนื้อ ระหว่างกลางมีตัวแปรหลายตัวเกินไป หากสามารถจากไปได้เร็วขึ้นเล็กน้อย ย่อมหวังว่ายิ่งออกไปเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ขณะคิดไป เธอก็ไม่ได้ยืนกรานที่จะพูดสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ต่อ
กลับเปลี่ยนคำพูดว่า“เมื่อถึงเวลาค่อยพูดกันเถอะ ดูว่าเวลาไหนเป็นโอกาสที่เหมาะสม ขอเพียงเราอย่าวู่วาม เห็นโอกาสค่อยลงมือ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่หนานก็พยักหน้า
หลังจากทั้งสองปรึกษากันแล้ว ก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่ออีก
เวลาเที่ยงก็ช่วยป้าสี่ทำกับข้าวปกติ ลุงสี่ออกไปทำธุระ ตอนเที่ยงไม่อยู่กินข้าวเที่ยงที่บ้าน
จิ่งหนิงกับโม่หนานถึงมีโอกาสได้อยู่กับป้าสี่ตามลำพัง ทันใดนั้นทั้งสองคิดถึงเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อวานนี้
เมื่อวานขณะที่ทั้งสามกำลังคุยกันอยู่ ลุงสี่ก็เดินเข้ามา
จิ่งหนิงสังเกตเห็นความไม่ปกติก่อน จึงเปลี่ยนไปตอบเป็นคำตอบอื่น
แต่ที่น่าแปลกคือ ตอนที่เธอพูดคำตอบอื่นออกมา ป้าสี่กลับไม่ชี้ออกมา
จากการกระทำนี้ เธอถึงตัดสินใจได้ว่า ป้าสี่คนนี้อาจจะมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่
ดังนั้น วันนี้มีโอกาส เธอจึงถามอีกครั้ง“ป้าสี่คะ คำถามที่ถามท่านเมื่อวานนี้ ยังถามไม่จบเลย ท่านบอกว่าด้ายสีแดงนี้ ผู้หญิงที่นี่ล้วนไม่เป็น ถ้าอย่างนั้นท่านไม่ใช่คนที่นี่หรือ”
สีหน้าป้าสี่เปลี่ยนไป
หลบสายตาเล็กน้อย
ดูเหมือนเธอไม่อยากตอบคำถามนี้ แต่กลับมองซ้ายขวาแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่น
“อันนั้น น้ำเดือดแล้ว ฉันไปซาวข้าวก่อน”
พูดไป ก็เดินไปทางข้างๆ
จิ่งหนิงกับโม่หนานมองหน้ากัน ต่างเห็นความคิดของอีกฝ่ายจากสายตาของกันและกัน
พวกเธอไม่คิดจะปล่อยเธอไปเช่นนี้ ดังนั้น รอเธอซาวข้าวเสร็จใส่ในหม้อแล้ว ก็ถามต่อ“ป้าสี่คะ ท่านไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม”
ป้าสี่ก้มหน้าเล็กน้อย เม้มริมฝีปากไว้แน่น
จิ่งหนิงยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ เราแค่ถามไปอย่างนั้นเอง ที่สำคัญคือก่อนหน้านั้นหนูเห็นท่านทำอาหารเช้า ก็ไม่ใช่อาหารที่คนที่นี่ถนัด คิดอยู่ว่าท่านน่าจะเป็นคนต่างถิ่นที่แต่งเข้ามา บ้านแม่ท่านอยู่ที่ไหนหรือ”
ป้าสี่สูดลมหายใจลึกๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงพูดว่า “พวกคุณไม่ต้องถามแล้ว ถึงพวกคุณจะถาม ฉันก็จะไม่พูดอีก”
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีก “อีกอย่าง เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ฉันก็จำไม่ได้แล้ว”
เธอพูดจบ ก็หันหลังออกไปทันที
จิ่งหนิงกับโม่หนานมองหน้ากัน
ทั้งสองยังไม่กล้าจะตื๊อถามมากไป กลัวเธอจะบอกกับลุงสี่จริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ลุงสี่จะต้องดูออกว่าพวกเธอรู้จุดประสงค์ของพวกเขาแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ จากเดิมทีทั้งสองยังอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัยอยู่ ก็อาจจะไม่ปลอดภัยแล้ว
ขณะที่คิดไป จิ่งหนิงกับโม่หนานก็หยุดถามทันที
ทำอาหารเที่ยงเสร็จ หลังจากทานกันแล้ว ป้าสี่ก็ถืออาหารชุดหนึ่งที่ห่อไว้แล้ว ถือไปส่งให้ลุงสี่ที่ทำงานอยู่ในไร่
ขาโม่หนานไม่สะดวก จึงกลับไปพักผ่อนในห้อง
จิ่งหนิงคิดอยากจะไปสังเกตดูภูมิประเทศใกล้เคียง ดังนั้นเธอจึงรบเร้าเธอต้องการจะไปกับเธอด้วย
ป้าสี่ลังเลเล็กน้อย จิ่งหนิงก็ขอร้องว่า“ป้าสี่คะ เราอยู่บ้านทุกวันน่าเบื่อมาก ท่านก็พาหนูไปด้วยกันเหอะ อีกอย่างเวลาช่วงนี้ หนูกับหนานหนานอยู่ที่นี่ทุกวัน ไม่ได้ทำงานอะไรเลย หนูก็ไม่สบายใจ ท่านก็ให้หนูไปกับท่านเถอะ รอเมื่อหนูรู้ว่าลุงสี่ทำงานที่ไหน ต่อไปหนูจะช่วยท่านส่งเอง”
ป้าสี่มองดูเด็กสาวที่ไร้เดียงสาใจดีตรงหน้า แล้วถอนหายใจเงียบๆ
ในใจคิดว่า ยังคิดจะตอบแทนบุญคุณหรือ
กลัวแต่ว่าวันหนึ่งเขาขายหนูไปแล้ว หนูยังช่วยเขานับเงินอยู่
ไม่ว่าอย่างไร พูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็กลัวว่าหากเวลานี้เธอปฏิเสธอีก จะทำให้จิ่งหนิงสงสัยได้
ดังนั้น เธอก็ไม่ปฏิเสธอีก พูดเพียงว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ หนูตามฉันมา”
“ค่ะ”จิ่งหนิงดีใจขึ้นมาทันที
เมื่อทั้งสองออกจากประตู จิ่งหนิงก็เดินตามเธอไปทางภูเขาที่อยู่ด้านหลัง
นี่เป็นสถานที่ที่เธอยังไม่เคยมา บนเขาล้วนเป็นไร่ที่ผ่านการเพาะปลูกแล้ว
พืชไร่ที่ปลูกในดิน เธอก็ไม่รู้จัก ระหว่างทางก็ถามไปหลายคำถาม
ป้าสี่บอกเธอว่า พืชพวกนั้นคืออะไร จนกระทั่งตอนที่เห็นต้นไม้ที่มีใบไม้ใหญ่มาก เธอจึงกล่าวว่า “นี่คือฝิ่น”
จิ่งหนิงตะลึง
เธอมองดูมันปลิวไหวตามแรงลม อย่างน้อยพื้นที่หลายร้อยไร่ ถามด้วยความประหลาดใจ “คนพื้นเมืองสามารถปลูกได้ตามต้องการหรือ ประเทศไม่ควบคุมหรือ”
ป้าสี่ยิ้มเย็นชา“ที่นี่มีประเทศอะไรกัน”
เมื่อพูดออกมาถึงรู้ว่าตัวเองเผลอปากพูดออกมาแล้ว ก็รีบปิดปากทันที
ดวงตาจิ่งหนิงเป็นประกายเล็กน้อย
ไม่มีประเทศหรือ
หรือจะเป็นโซนสามไม่ควบคุมอะไรหรือ
อีกทั้งก่อนหน้านั้นที่พวกเขาพูดว่า สงครามตลอดปี ในใจเธอก็พอคาดการณ์โดยประมาณได้แล้ว
ขณะเดินไป ก็จดจำพื้นที่รอบๆไว้ในหัวสมอง
เดินไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงในไร่
เห็นเพียงลุงสี่กำลังนั่งดูดไปป์ยาสูบอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นพวกเธอมา ก็คิ้วขมวด
“ทำไมถึงพาเธอมาล่ะ”
สีหน้าป้าสี่ปกติ กล่าวเสียงต่ำ “เธอจะตามมาให้ได้ บอกว่าอยากจะตอบแทนคุณ ส่งข้าวให้คุณ”
ลุงสี่ยิ้ม ความหมายในรอยยิ้มไม่ชัดเจน
ขณะที่เอากับข้าวออกมา ก็พูดว่า “คราวหน้าห้ามพาออกมาอีก เด็กคนนี้ฉันมองดูสายตาเขาฉลาดหลักแหลมมาก อย่าให้เธอพบเจออะไรล่ะ”
ป้าสี่หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
เงยหน้ามองตาเขา
แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนเขา
“ฉันรู้แล้ว”