ชายคนนั้นถูมือไปมา แล้วยิ้มกล่าว “ไม่รีบ ไม่รีบ ผมแค่มาดูเฉยๆ”
ขณะที่เขาพูด ก็พูดไปด้วยเดินกลับไปเดินกลับมาด้วย ในที่สุดก็เดินไปหลังเตา
“คุณก็คือสาวน้อยที่ลุงสี่ช่วยไว้ก่อนหน้านั้น คุณชื่ออะไรหรือ”
เขาถาม
ในที่สุดโม่หนานก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองไปที่เขา แต่ด้วยความรู้สึกดูถูกและเสียดสีเล็กน้อย
“เกี่ยวอะไรกับคุณหรือ”
ชายหนุ่มชะงักไป
ในทีแรก ยังไม่ทันตั้งตัว
“คุณว่าอะไรนะ”
“แม้แต่ฉันพูดอะไรคุณก็ฟังไม่ชัดเจนแล้ว ยังจะถามหาชื่อฉันอีก”
คราวนี้ผู้ชายฟังเข้าใจแล้ว และหยุดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
น่าจะไม่เคยพบเจอสาวที่แกร่งเช่นนี้มาก่อน เขาอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วถึงยิ้มเยาะเย็นชา
“เฮ้ย มีอารมณ์ด้วย ฉันชอบ”
โม่หนานขมวดคิ้วเข้ม
หากทำได้ เธออยากจะเอาเหน็บโยนใส่เขา
แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้ยังทำไม่ได้
อย่างน้อย ไม่สามารถแตกหักกับคนพวกนี้ได้ จนกว่าอาการบาดเจ็บของเธอกับจิ่งหนิงจะรักษาให้หายดีก่อน
ดังนั้น เธอก็ไม่พูดอะไรอีก
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รับการเอาใจจากเธอ ก็รู้สึกเบื่อเล็กน้อย จึงเดินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ล้วงแขนเสื้อเดินออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ จิ่งหนิ่งก็นั่งอยู่ตรงประตูห้องครัว ไม่ได้ขยับไปไหน
จนกระทั่งรอเขาเดินออกไป เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องโถง ถึงได้ยินเขาบ่นกับลุงสี่ว่า“แม่สาวน้อยคนนั้นนิสัยแย่มาก เมื่อถึงเวลาฉันพากลับไปแล้ว ต้องสั่งสอนกันบ้างล่ะ”
มีเสียงหัวเราะของผู้ชายดังมาจากห้องโถง
“นั่นมันเรื่องของพวกคุณเอง ถ้าคุณเต็มใจจะพาไปตอนนี้ก็ได้นะ ดูแลสั่งสอนแต่เนิ่นๆก็ยิ่งดี”
ชายคนนั้นโต้กลับทันที “ไม่ได้หรอก ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อที่ดีพร้อม นี่ได้รับบาดเจ็บมา การหาหมอกินยา ยังต้องใช้เงินอีก เงินนี้ฉันไม่ออกแน่นอน”
ลุงสี่ไม่พูดอะไรอีก
จิ่งหนิงดึงหูกลับมา หรี่ตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกยิ้มเย็นชา
อาหารเย็นที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายเต็มโต๊ะ
ผู้ชายพวกนั้น ไม่ได้อยู่ทานทุกคน
มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ทานข้าวด้วย จิ่งหนิงจำได้ว่า หนึ่งในนั้น ก็คือคนที่เธอเห็นข้างนอกในค่ำคืนก่อน คนที่คุยกับลุงสี่
ระหว่างทานข้าว คนคนนั้นจ้องมองดูเธออยู่ตลอดเวลา ยังคีบกับข้าวให้เธอด้วยเป็นครั้งคราว
ยิ้มไปพูดไปว่า“ทานเยอะๆหน่อย ดูพวกคุณสาวน้อยมาจากในเมือง ช่างสุภาพ ไม่ทานข้าวร่างกายจะฟื้นตัวได้เร็วอย่างไรกัน”
จิ่งหนิงยิ้ม ไม่พูดอะไร
แต่กลับเขี่ยกับข้าวที่เขาคีบให้ไปไว้ข้างๆอย่างเงียบๆ โดยไม่เตะต้องเลย
โม่หนานมองดูชายสองคนนั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
ลุงสี่มองดูเธอ ถึงแม้ปากจะไม่พูดอะไร แต่หว่างคิ้วกลับขมวดเข้าตลอดเวลา
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว จิ่งหนิงช่วยป้าสี่เก็บถ้วยชาม จากนั้นก็พาโม่หนานกลับห้องไป
หลังจากกลับถึงห้องแล้ว สีหน้าที่ฝืนปั้นไว้ของโม่หนาน ก็เปลี่ยนไปทันที
“คิดจะทำอะไรกันแน่ เขายังคิดจะขายเราให้คนประเภทนี้หรือ”
จิ่งหนิงเห็นเธอราวกับอดไม่ได้ที่จะบ่น จึงรีบเอานิ้วมือแตะไปที่ริมฝีปากของเธอ “เงียบ”หนึ่งคำ
โม่หนานเพิ่งจะนึกได้ว่า ลุงสี่สองสามีภรรยาอาจยังอยู่ด้านนอก
หากเธอพูดจากเสียงดังเกินไป ทำให้พวกเขาได้ยินเข้า ก็จะแย่
ดังนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
จิ่งหนิงเดินเข้าไปข้างกายเธอ นั่งลงบนเตียง พูดด้วยเสียงต่ำ “ดูไปแล้วสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เราคิด ฉันรู้สึกตลอดว่าพวกเขาอาจจะรอไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็จะลงมือ ก่อนจะถึงเวลานั้น เราจะต้องทำอะไรบ้างเล็กน้อยแล้ว”
โม่หนานไม่เข้าใจเล็กน้อย “ตอนนี้พวกเราทำอะไรได้บ้าง”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปาก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงกล่าว“ฉันจะใช้เวลาสองสามวันนี้ พยายามหาโอกาสวาดภูมิประเทศบริเวณรอบๆออกมา แกก็พยายามรักษาแผลให้หายเถอะ ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเธอสำคัญที่สุด”
เมื่อโม่หนานได้ยินเช่นนั้น โม่หนานก็โทษตัวเองมากขึ้น
“หนิงหนิง ขอโทษนะ ต้องโทษฉัน หากไม่เป็นเพราะฉันได้รับบาด…….”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้นมาทันที
ยื่นมือลูบหัวเธอ “เด็กโง่ พูดไร้สาระทำไม หากไม่ใช่แก ฉันคงตายไปตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว จะมีชีวิตอยู่รอดถึงตอนนี้ได้อย่างไร”
ในใจของเธอ โม่หนานไม่ได้เป็นแค่เพียงบอดี้การ์ดของเธอ แต่ยังเป็นเพื่อนของเธอด้วย
ดังนั้นจิ่งหนิงจะไม่มีวันทิ้งเธอไว้คนเดียวโดยไม่สนใจเด็ดขาด
เมื่อโม่หนานเห็นเช่นนั้น ก็ไม่โทษตัวเองอีกต่อไป ทั้งสองก็ปรึกษากันครู่หนึ่ง จนกระทั่งใกล้พลบค่ำ เสียงป้าสี่เรียกจากข้างนอก จิ่งหนิงถึงเดินออกไป
อาหารเย็นก็ยังเป็นจิ่งหนิงที่ช่วยป้าสี่ทำด้วยกัน
มองเห็นดอกไม้ที่ตากอยู่ด้านหลังห้องครัว ป้าสี่บอกว่า “คืนนี้ฝนอาจจะตก ถ้าเธอจะทำดอกไม้แห้ง ก็เก็บพวกมันเถอะ จะเปียกฝนได้”
จิ่งหนิงตอบรับหนึ่งคำ
ตอนที่เธอออกไปเก็บดอกไม้กลับมา ก็เห็นลุงสี่เดินเข้ามาทางหน้าบ้านพอดี
ก็ไม่รู้ว่าเธอตาฝาดหรือเปล่า ดูไปแล้วสีหน้าลุงสี่ไม่ค่อยจะดี
ราวกับข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นเช่นนั้น
ยิ่งทำให้จิ่งหนิง อยากรู้มากขึ้น
เวลาอาหารเย็น เธอก็แกล้งถามโดยทั่วไปว่า“ลุงสี่คะ หนูได้ยินว่าภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีหมาป่าหรือคะ”
ลุงสี่เงยหน้ามองเธอ ถามด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “ใครบอกหนูหรือ”
สีหน้าป้าสี่เปลี่ยนไป รีบอธิบายว่า“ฉันเป็นคนพูดเอง วันนี้ตอนที่เดินกลับมา เสี่ยวชีบอกว่าเขาลูกนั้นสวยงามมาก อยากไปเที่ยว ฉันก็บอกกับเธอว่าตรงนั้นมีหมาป่า”
ดวงตาลุงสี่เป็นประกายเล็กน้อย
จิ่งหนิงรีบยิ้มอย่างจริงใจและกล่าวว่า“ใช่ค่ะ ลุงสี่ก็รู้ว่า เราออกมาท่องเที่ยว เห็นสิ่งสวยงามก็ต้องอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองอยู่แล้ว”
ตอนนี้เธอยังไม่อยากทำให้ลุงสี่สงสัย
เห็นเพียงลุงสี่ยิ้มเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า“ถ้าอย่างนั้นหนูไปทางนั้นไม่ได้แล้ว พวกหนูเด็กผู้หญิงสองคน ทางนั้นอันตรายมากนะ หากไปพบเจออะไรอีกก็จะไม่มีคนช่วยเหลือพวกหนูแล้วนะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า“อย่างนี้หรือ ”
“อืม”
อาหารมื้อนี้ ผ่านไปอย่างหดหู่หาที่เปรียบไม่ได้
แม้โม่หนานไม่ค่อยใส่ใจกับสีหน้าของพวกเขาทั้งสอง แต่ก็จะรู้สึกได้ว่าวันนี้สีหน้าลุงสี่ไม่ค่อยปกติ
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เธอกับโม่หนานก็ถูกลุงสี่ไล่กลับไปห้องนอน
วันนี้ยังเป็นครั้งแรก ที่พวกเธอสองคนถูกไล่กลับห้องมาแต่วันเช่นนี้ รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที
ขณะเดียวกัน ก็ยิ่งมั่นใจว่า วันนี้ตอนอยู่ข้างนอก น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
จนทำให้ลุงสี่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับพวกเธอทั้งสอง
จิ่งหนิงมีลางสังหรณ์ใจบางอย่างที่ไม่ค่อยจะดี เธอรู้สึกว่า ตัวเองกับโม่หนานจะถูกกระทำอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ดังนั้น กลางดึกหลังจากแสงไฟข้างนอกดับลงแล้ว เธอก็ย่องเงียบออกไปทางประตูห้อง อยากจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ใครจะคาดคิด พอเปิดประตู เห็นว่าประตูเปิดไม่ออกแล้ว
สีหน้าจิ่งหนิงเปลี่ยนไปทันที
ขาของโม่หนานไม่สะดวก ปกติหากไม่จำเป็นต้องเดินเคลื่อนไหว ก็จะนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา
เห็นเธอหันหลังยืนมองดูตัวเองอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เป็นอะไรหรือ”
จิ่งหนิงตอบด้วยสีหน้าเจื่อน“ประตูถูกล็อกจากด้านนอก”