จิ่งหนิงพยักหน้า
ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินตรงไปที่รถพร้อมกัน
โม่หนานที่ได้รับสัญญาณจากเธอ ก็รู้ดีว่าประเดี๋ยวเธอจะหาโอกาสจัดการกับพี่ชายคนโตนั้น และอีกสักครู่เธอจะกลับมาช่วยตน จัดการกับผู้ชายคนนี้
คิดไม่ถึงว่ารอไปรอมา ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว
แต่กลับมากันสองคนดังเดิม!
เธอชะงักลงไปครู่หนึ่งมองด้วยท่าทางประหลาดใจ วินาทีนั้นเธอคิดว่าตัวเองเข้าใจอะไรผิดไป
แต่ดูจากสถานการณ์นี้ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเช่นกัน
จะลงมือต่อหรือไม่? หรือจะรอไปก่อน?
เมื่อสักครู่มีอะไรผิดพลาดอย่างนั้นเหรอ?
โม่หนานนั่งตกตะลึงอยู่ตรงที่เดิม
จิ่งหนิงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอขยิบตาให้กับโม่หนาน ซึ่งโม่หนานก็เข้าใจดีจึงหุบปากไม่พูดอะไรออกมา
จิ่งหนิงปีนขึ้นไปบนรถ เมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมากันแล้วน้องชายก็เข้าไปทักทายอย่างกระตือรือร้น
และกู้ซือเฉียนก็สามารถใช้ภาษาท้องถิ่นตอบกลับเขาได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนหน้านี้ที่จิ่งหนิงไม่รู้ว่าเขาคือกู้ซือเฉียน เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะฟังอย่างไรเธอก็รู้สึกแปลก
เธอรู้สึกอึดอัดมาก
โม่หนานมองไปทางเธอด้วยท่าทางอันลำบากใจ ในใจเธอตอนนี้ร้อนรนราวกับไฟแล้ว
เนื่องจากว่าทั้งสองคนจะหาโอกาสดีๆเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และตอนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับพวกเธอที่จะหลบหนี
หากไม่รีบหนีไปตอนนี้รอให้เข้าไปในหมู่บ้านก็คงจะอยู่ในรังของพวกมันจริงๆ ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไร?
ดังนั้นหลังจากที่ประตูรถถูกปิดลง โม่หนานก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไปเธอดึงจิ่งหนิงเข้ามาแล้วกระซิบถามว่า “หนิงหนิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมไม่จัดการเขา?”
จิ่งหนิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
แต่เรื่องที่ความจริงแล้วกู้ซือเฉียนคือพี่ชายคนโตมันช่างซับซ้อนมาก เธอไม่รู้จะอธิบายความจริงนี้ไปอย่างไร ไม่อย่างนั้นผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้ก็อาจจะรู้ตัวได้
แม้เธอจะรู้ว่า พวกเธอสามคนสามารถจัดการชายคนนี้ได้ทุกวินาที
แต่การที่กู้ซือเฉียนปลอมตัวเป็นพวกเขาและเข้าไปหลอมรวมอยู่ด้วยกันคาดว่าเขามีแผนการอื่นอยู่ เธอจึงไม่อยากเปิดโปงตัวตนของเขา
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรมาก ทำได้เพียงส่ายหน้าและเขียนตัวหนังสือลงไปบนฝ่ามือว่า
“รอก่อน มีการเปลี่ยนแปลง”
โม่หนานผงะไปครู่หนึ่ง เธอไม่ค่อยเข้าใจความหมายสักเท่าไหร่นัก
จิ่งหนิงก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากเกินไป เธอจึงพยายามพยักหน้าเป็นความหมายว่าตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกังวล
โม่หนานขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
แม้ว่าเธอจะยังไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ในเมื่อจิ่งหนิงให้สัญญาณออกมาแบบนี้ ก็แสดงว่าได้ผ่านพ้นจากอันตรายแล้ว เธอทำได้เพียงเชื่อหล่อน
คิดไปคิดมา โม่หนานก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ
รถคันนั้นขับไปเรื่อยๆอย่างสั่นคลอน ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าในที่สุดก็ตรงเข้าไปถึงในหมู่บ้าน
เมื่อเข้าไปถึงจิ่งหนิงก็รู้สึกได้ว่า ถนนใต้ล้อรถนั้นราบเรียบกว่าเดิมมา
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่งในตอนเช้า บนถนนมีผู้คนเริ่มเปิดขายอาหารแผงลอยแล้ว
ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องของผู้คนอย่างเร่งรีบ สื่อให้เห็นความมีชีวิตชีวาและรุ่งเรือง
เธอเดินทางมาที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่จิ่งหนิงเพิ่งจะเคยได้ยินเสียงอันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้เป็นครั้งแรก หัวใจที่ถูกแช่แข็งไว้เป็นเวลานานในที่สุดก็ถูกเปิดออกมาเต้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เธออยู่ในภูเขารกร้าง แม้ทิวทัศน์จะสวยสดงดงาม แต่เมื่อเวลานานไปก็ทำให้สัมผัสไม่ได้ถึงสังคมนิยมต่างๆ ทำให้เธอกดดันไม่น้อยเลยทีเดียว
ตอนนี้เธอได้ออกมาจากที่แห่งนั้นแล้ว และมีความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
จิ่งหนิงมองไปที่ข้างนอก แต่หน้าต่างของรถถูกปิดไว้ มีเพียงรูตามช่องว่างเล็กๆเท่านั้น เธอมองไม่เห็นอะไรข้างนอกนัก
ที่ข้างหน้ามีเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาว่า
“เช้าแล้ว พวกเรากลับบ้านกินข้าวกันเถอะ จัดให้พวกเธอทั้งสองคนอยู่ในห้องด้านขวานั้นแล้วกัน ตอนกลางคืนพี่ชอบใครก็เอาไป พวกเราแบ่งกันคนละคน”
ประโยคนี้พวกเขาใช้ภาษากลางในการสื่อสารทำให้จิ่งหนิงและโม่หนานฟังเข้าใจ
ทั้งสองคนตกตะลึงพูดไม่ออก
และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ กู้ซือเฉียนกลับตอบรับว่า
“อืม ฉันจะเอาคนที่พูดน้อย”
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ยินก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “จริงเหรอ? งั้นผมเอาคนที่พูดมาก!”
จิ่งหนิง “……”
โม่หนาน “……”
เธอจินตนาการได้ว่าขณะที่กู้ซือเฉียนกำลังพูดประโยคนั้นออกมาใบหน้าของเขาคงจะปรากฏรอยยิ้มอันน่ารังเกียจ ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ!
น่าโมโหที่สุด! แต่เธอก็จำเป็นต้องแสร้งยิ้ม
โม่หนานที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยเธอได้ยินดังนั้นก็เป็นกังวล แต่เมื่อหันไปมองดูจิ่งหนิงทำท่าทางสงบนิ่งได้เพียงนั้นเธอก็รู้สึกว่า เรื่องราวต่างๆอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ชุมชนนี้แม้จะไม่ใหญ่มาก แต่จำนวนประชากรไม่น้อย และมีการกระจายตัวอย่างหนาแน่น
ระหว่างทาง จิ่งหนิงได้ยินเสียงของคนที่เป็นน้องทักทายกับผู้คนที่ผ่านไปมาราวกับว่าคุ้นเคยกันมาก
รถขับไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็หยุดลง
ข้างหน้ามีคนกระโดดลงจากรถและประตูด้านหลังก็ถูกเปิดออก
ต่อจากนั้นก็มองเห็นรอยยิ้มอันแจ่มใสของชายคนหนึ่ง
“ถึงแล้วลงมาเถอะ”
จิ่งหนิงและโม่หนานสบตากันและลงจากรถไปอย่างว่าง่าย
เนื่องจากขาของโม่หนานไม่ค่อยสะดวกนัก จึงจำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำในการเดิน จิ่งหนิงจึงพยุงเธอไปตลอดทาง
คนที่เป็นน้องชายอยากจะเข้ามาช่วยเธอพยุงอยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกโม่หนานและจิ่งหนิงหลีกเลี่ยง
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยสัมผัสกับผู้หญิงมาก่อน ดังนั้นก็ทำท่าทางเงอะงะ
ตอนที่ถูกพวกเธอหลบหลีกนั้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงความตั้งใจของพวกเธอเลย คิดเพียงว่าตนเองไม่มีประสบการณ์และเดินยิ้มมาตลอดทาง มองไปแล้วช่างงี่เง่าแต่ก็น่ารัก
มันช่างแตกต่างจากผู้ค้ามนุษย์อันโหดเหี้ยมที่จิ่งหนิงและโม่หนานจินตนาการเอาไว้
หลังลงจากรถก็พบว่าตรงข้ามนี้มีบ้านในชนบทธรรมดาหลังหนึ่ง
บ้านนั้นมีทั้งหมดสองชั้น แต่ละชั้นมีสามห้องไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ยังดีที่ดูแลจนสะอาดสะอ้าน ดังนั้นจึงไม่เลวเลยทีเดียว
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปด้านในบ้าน และจัดการให้โม่หนานกับจิ่งหนิงอยู่ห้องเดียวกัน รอจนกระทั่งพวกเธอเข้าไปแล้ว ชายคนนั้นจึงถูกกู้ซือเฉียนเรียกไป
ตอนนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่โม่หนานและจิ่งหนิงสองคนที่ถูกทิ้งเอาไว้
โม่หนานทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอทนมาตลอดระยะทางแล้ว ในที่สุดเมื่อมีพวกเธออยู่เพียงลำพังสองคนก็รีบเอ่ยถามขึ้นว่า
“หนิงหนิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมไม่ทำตามแผนเดิมที่วางเอาไว้? ตอนนี้พวกเราเข้ามาในรังของมันแล้วจะทำยังไงกันดี?”
จิ่งหนิงมองไปยังเธอที่ทำท่าทางตื่นตระหนกและยิ้มขึ้น
เธอส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ในครั้งนี้เราเจอกับคนรู้จักเขาแล้วล่ะ”
“คนรู้จัก ที่ไหนกัน?”
โม่หนานยังไม่รู้จักคนที่ชื่อว่ากู้ซือเฉียน
เมื่อจิ่งหนิงเห็นดังนั้นก็บอกความจริงทุกอย่างแก่เธอไป
โม่หนานได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง
เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้
จิ่งหนิงจึงได้ถอนหายใจพูดว่า “ยังไงตอนนี้พวกเราก็ปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวฉันจะพูดกับเขาและติดต่อไปที่ลู่จิ่งเซิน คุณดูแลตัวเองให้ดี เมื่อเราติดต่อกับลู่จิ่งเซินได้แล้วพวกเราก็น่าจะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์”
โม่หนานจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง กู้ซือเฉียนและผู้ชายคนนั้นก็กลับมา
พวกเขาไม่ได้กลับมามือเปล่า แต่กลับถืออาหารเช้าทุ่งใหญ่กลับมาด้วย
ข้างในล้วนเป็นขนมที่มีขายตามท้องถนนในหมู่บ้าน