ดังนั้นจึงได้จับมือของจิ่งหนิงแล้วพูดว่า “หนิงหนิง คุณสัญญากับผมเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
จิ่งหนิงมองดูเขาแล้วถามว่า “เรื่องอะไรกันคะ?”
จิ่งหนิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ลู่จิ่งเซินจึงพูดต่อไปว่า “ถ้าคุณอยากจะรู้จริงๆ ผมจะช่วยคุณสืบหาเอง”
จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
เธอพูดขึ้นว่า “ที่จริงฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้เรื่องนั้นให้ได้หรอกค่ะฉันเพียงแค่รู้สึกว่า……”
เธอเม้มริมฝีปาก ลู่จิ่งเซินมองไปที่เธอ และค่อยๆเอ่ยถามขึ้นว่า “รู้สึกว่าอะไรครับ?”
เธอพูดต่อไปว่า “คุณรู้ไหมคะ? ฉันมักจะฝันอะไรอยู่บ่อยๆ และในความฝันนั้นฉันถูกถ่วงจมลงสู่ก้นทะเล แต่ในความฝัน ไม่มีฉันแค่คนเดียว ยังมีคนอีกด้วย ลู่จิ่งเซิน ฉันกลัวจริงๆ ฉันมักจะรู้สึกว่าเมื่อเก้าปีก่อนหน้านี้บางทีพวกเราอาจจะรู้จักกันมาก่อนก็ได้ใช่ไหมคะ?”
ลู่จิ่งเซินมองดูเธอด้วยความตกตะลึง
ผ่านไปสักพัก เขาจึงได้ฝืนยิ้มขึ้นมา “หนิงหนิง ทำไมคุณถึงมีความคิดแบบนี้ล่ะ?”
จิ่งหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเฉยๆ”
ลู่จิ่งเซินยื่นมือออกไปสัมผัสกับผมของเธออย่างเสน่หา
จากนั้นพูดอย่างอ่อนโยนว่า “อย่าคิดมากไปนะครับ ไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าคุณอยากจะรู้เรื่องเมื่อเก้าปีก่อนจริงๆ ผมส่งคนไปช่วยคุณตรวจสอบก็ได้ คุณอย่าเอาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายแบบนี้อีก เพราะผมเป็นห่วงคุณ และผมเจ็บปวดใจ คุณรู้หรือเปล่า?”
จิ่งหนิงมองดูท่าทางของเขา และรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ผ่านไปสักพักในที่สุดเธอก็พยักหน้า
เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นดังนั้นก็วางใจลง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในบ้านหลังเล็กนั้น
เมื่อรถแล่นออกไป กู้ซือเฉียนก็ยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองมองดู
เขามองไปยังจิ่งหนิงที่ขึ้นรถ จนกระทั่งรถค่อยๆขับเคลื่อนออกไปไกล
แต่เขาก็ยังคงไม่ได้ละสายตากลับมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
ด้านหลังของเขามีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
และมองไปยังทิศทางที่รถกำลังแล่นออกไป ก่อนจะพูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “พี่ครับ พี่ปล่อยพวกเธอไปทำไม? คนพวกนั้นมีอำนาจมากหรือไง? แล้วเงินที่เราเสียไปตั้งหลายหมื่นจะไม่เสียเปล่าเหรอ?”
กู้ซือเฉียนไม่ได้หันกลับไปมองเขา และยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ตอนบ่ายจะมีเงินหนึ่งแสนหยวนโอนเข้ามาในบัญชี พวกเขาซื้อเธอทั้งสองคนไป”
“หา?”
ชายคนนั้นตกใจ
“หนึ่งแสนหยวน!”
มากมายขนาดนั้นเชียว?
โอ้พระเจ้า ตอนที่เขาทั้งสองคนซื้อพวกเธอมาใช้เงินไปเพียงแค่หกหมื่นหยวน ตอนนี้พวกเขาให้เงินมาหนึ่งแสนหยวน ก็แสดงว่าได้กำไรสี่หมื่นอย่างนั้นหรือ?
แม้จะบอกว่าเขารู้สึกเสียดายเนื่องจากจิ่งหนิงรูปร่างหน้าตางดงามขนาดนั้น
แต่เงินจำนวนหนึ่งแสนหยวนสำหรับเขามันช่างมากมายเหลือเกิน
จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใจเต้นรัว
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเขาแล้วเพียงแค่สูญเสียภรรยาไปคนหนึ่ง แต่ถ้าหากมีเงินก็สามารถซื้อมาได้อีก
เขาไปซื้อคนที่สวยงามพอๆกับจิ่งหนิง เพียงแค่นี้เขาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดทุนแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็มีความสุขขึ้นมา
กู้ซือเฉียนไม่ได้สนใจเขา
กลับทำสีหน้านิ่งเรียบและเดินลงไปด้านล่าง
ชายคนนั้นเห็นท่าทางของเขาก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “พี่ครับจะไปไหน?”
กู้ซือเฉียนตอบว่า “นอน”
“หืม?”
“พรุ่งนี้เราจะไปดูตัวกันอีกไหม?”
“ไม่ไปแล้ว”
“พี่ แล้วพรุ่งนี้จะไปไหน?”
ชายคนนั้นยังถามอีกต่อไป
เสียงของกู้ซือเฉียนดังออกมาจากตรงใกล้ๆว่า “พรุ่งนี้ฉันมีธุระ แกไปเองแล้วกัน”
เมื่อพูดจบเขาก็จากไปทันที
ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพักเขาก็เบ้ปากออกมาด้วยความไม่พอใจ
ไม่รู้ว่าทำไมเขารู้สึกว่าครั้งนี้หลังจากที่พี่ชายกลับมาก็ดูเหมือนแตกต่างไปจากคนเดิมเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดได้ว่าพี่ชายของเขาทำงานให้กับเถ้าแก่ที่มีเงินจำนวนมหาศาล เขาก็คงจะมีความคิดเป็นของตัวเอง
เห้อ! ช่างมันเถอะ เขาจะคิดยังไงก็ช่าง
เพียงแค่มีตังก็พอเขาจะคิดยังไงไม่สำคัญ
เมื่อคิดดังนี้ ชายคนนั้นก็ไม่ได้ถามอีกต่อไป
เขาเดินออกไปโทรศัพท์หาใครบางคนด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม เพื่อเจรจาเรื่องการดูตัววันพรุ่งนี้
ส่วนกู้ซือเฉียนกลับนอนอยู่บนเตียง เขานอนไม่หลับทั้งคืน
เพราะเพียงแค่เขาหลับตาลงในสมองก็เต็มไปด้วยภาพของหญิงสาว
ร่างกายอันผอมบางอยู่ใต้แสงอาทิตย์ หยอกล้อทุบตีเขาและยิ้มร่าเจิดจรัส
แสงแดดจากดวงอาทิตย์ ทำให้รอยยิ้มของเธอราวกับกลีบดอกไม้บาน จากนั้นก็หายไปท่ามกลางสายลมพัดผ่าน มันช่างอยู่ไกลเกินเอื้อม
ท่ามกลางความเลือนราง เขาได้นึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่เธอจากไป มองดูเขาและพูดคำนั้นออกมา
เธอพูดขึ้นว่า “กู้ซือเฉียนฉันเกลียดคุณ!”
เธอบอกว่า “อย่าให้ฉันต้องเจอกับคุณอีก!”
“ชาตินี้ฉันจะเป็นศัตรูของคุณตลอดไป!”
จนกระทั่งกลางดึก ในที่สุดกู้ซือเฉียนก็นอนหลับไป
เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างก็ส่องขึ้น
เสียงเอะอะจากด้านนอกทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน ดึงผ้าผ้าห่มออกและเดินตรงไปด้านนอก
เมื่อเดินออกไปด้านนอก เขาก็พบว่าที่ห้องรับแขกมีน้องชายอันโง่เง่ายืนอยู่กับผู้ชายอีกสองคนและผู้หญิงอีกสองคน
เมื่อเห็นว่าเขาเดินลงมาแล้ว น้องชายโง่คนนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางดีใจและพูดราวกับค้นพบขุมสมบัติว่า “พี่ ดูนี่สิ ผมเอาอะไรมาให้?”
สายตาอันเยือกเย็นของกู้ซือเฉียนมองไปยังคนพวกนั้นอย่างเฉยเมยแล้วพูดว่า “ทำอะไรกัน?”
น้องชายโง่ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ครับ พี่ฝันอยากจะมีเมียไม่ใช่หรือไง? ผู้หญิงสองคนนั้นไปแล้ว ผมก็เลยหามาให้อีกสองคน ถึงจะไม่ได้สวยมากแต่ไม่แพง!”
เมื่อเขาพูดจบ ก็เข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูของกู้ซือเฉียนราวกับกำลังพูดถึงความลับบางอย่าง
เขาก็กระซิบขึ้นด้วยท่าทางดีใจว่า “สองคน! ห้าหมื่นหยวนเองพี่! ผมถามมาแล้วยังซิงอยู่เลย พวกเราได้กำไรแล้วล่ะ!”
กู้ซือเฉียนหรี่ตาลงมองอย่างระมัดระวัง
เขาจ้องไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะค่อนข้างดีใจจนเกินเหตุ น้องชายคนนั้นจึงไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของเขา
อีกทั้งยังแนะนำอย่างมีความสุข เขาอธิบายว่าทั้งสองคนนี้คุ้มค่าขนาดไหน และจากนิสัยของเขาจะชอบคนไหนมากกว่า
บอกตามตรงว่า กู้ซือเฉียนไม่ใช่คนดีอะไร
แต่ในช่วงที่เขาดำรงชีวิตอยู่ที่นี่เขาก็เกลียดการซื้อขายอันสกปรกแบบนี้เหลือเกิน
ไม่รอให้แนะนำจนจบเขาก็พูดขัดขึ้นว่า “ฉันไม่สนใจ!”
ชายคนนั้นตกตะลึง
กู้ซือเฉียนหันไปมองผู้หญิงสองคนนั้น ที่ทำท่าทางตัวสั่นแล้วพูดว่า “แกอยากจะทำอะไรก็เรื่องของแก อย่าเอาฉันไปเกี่ยวด้วย”
เมื่อพูดจบก็ก้าวขาเดินจากไป
น้องชายโง่คนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมและมองดูเขาจากไปด้วยท่าทางตกตะลึง
ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีในตอนนี้
หลายปีมานี้ เขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้และดูเหมือนจะค่อนข้างมีหน้ามีตา แต่ที่จริงแล้วเขารู้ดีว่าเป็นเพราะพี่ชายของเขามีความสามารถเท่านั้นเอง
ชุมชนนี้ไม่ใหญ่มากนัก แต่อาจเนื่องจากสงครามที่คุกคามมาหลายปี จึงทำให้หมู่บ้านเล็กๆนี้ผู้คนเต็มไปด้วยความโหดร้าย
ก่อนหน้านี้ ตอนเล็กๆทั้งสองคนไม่มีพ่อแม่ อีกทั้งยังยากจนมักถูกคนรังแก
ทุกครั้งที่ถูกใครทำร้ายทุบตีกลับมา เขาก็จะพาพี่ชายของเขาไปหาเรื่องกลับ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาอาจจะไม่ใช่ฝ่ายชนะ
แต่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเอาชนะได้อย่างง่ายๆ
ส่วนมากก็จะพอๆกัน
เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทุกคนจึงได้รู้ว่า
สองพี่น้องนี้ ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ชายคนโต