แต่เธอก็ยังคงดื้อรั้น ตามหาให้เขากลับมาอธิบาย
แต่ถึงกระนั้นการอธิบายที่เธอรอคอยจนกระทั่งเธอสิ้นใจก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
หยุนหลันเสียชีวิตลงหลังจากที่ให้กำเนิดกู้ซือเฉียนในปีที่เจ็ด
ในตอนนั้นหลังที่เธอเลิกร้างกลับกู้ฉางไห่ เธอจึงเพิ่งรู้ว่าต้นนั้นตั้งท้อง
เด็กคนนี้ สำหรับเธอมันเป็นความเจ็บปวด เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความรักอันงดงาม แต่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอถูกทอดทิ้ง
ดังนั้นความรู้สึกของเธอที่มีต่อเด็กคนนี้จึงซับซ้อนมาก เนื่องจากเธอทั้งรักและทั้งเกลียด
นอกจากนี้ หลังจากข่าวเรื่องของเธอและกู้ฉางไห่ถูกเปิดเผยออกมา ตระกูลหยุน ก็ขับไล่เธอออกจากตระกูลเนื่องจากว่าเธอทำให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้า เพราะไปพัวพันกับครอบครัวของคนอื่น
นับแต่นั้นเป็นต้นมา หยุนหลันจึงได้พากู้ซือเฉียนมาใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้
ในสมัยนั้นสองคนแม่ลูก แม้จะมีสมบัติที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้ในการดำรงชีวิต แต่กลับถูกครอบครัวใหญ่รังเกียจและปฏิเสธ คงพอจะคิดได้ว่าชีวิตของพวกเขานั้นไม่ได้ดีเท่าไรนัก
หยุนหลันติดอยู่ในความสัมพันธ์อันเจ็บปวดนี้ตลอดเวลา แต่ศักดิ์ศรีทำให้เธอไม่อ่าจลดตัวลงและไปตามหากู้ฉางไห่ที่ประเทศจีนได้
และหลังจากสามวันที่ตกลงไว้ กู้ฉางไห่ก็ไม่มีข่าวคราวจากเขาอีกเลย
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกกับเขาถึงเรื่องกู้ซือเฉียน
ผ่านไปถึงเจ็ดปีและในปีนั้นหิมะตกหนักมาก
คฤหาสน์หลังนี้แทบจะถูกหิมะปกคลุมเป็นน้ำแข็งแกะสลักรูปประสาท
เธอนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ สายตามองไปแฝงไปด้วยความเศร้าโศก
เจ็ดปีมานี้ในฐานะแม่ เธอไม่เคยปฏิบัติดีต่อเขาเลย
เนื่องจากทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา เธอก็จะคิดถึงว่านอกเหนือจากเลือดของเธอที่ไหลวนอยู่ในร่างกายเขาแล้ว ยังมีเลือดของผู้ชายคนนั้นไหลวนอยู่ในร่างกายเขาด้วย
ประกอบกับเมื่อเขาเริ่มเติบโตขึ้น รูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นก็ยิ่งเหมือนกับคนคนนั้นเข้าไปทุกที
ทำให้ความขุ่นเคืองและเกลียดในใจนั้นยิ่งทวีรุนแรงขึ้นไปอีก
ไม่ใช่ว่าหยุนหลันไม่รู้การกระทำเหล่านี้กับเด็กไม่เป็นความยุติธรรมนัก แต่คนเราก็เป็นแบบนี้ หลายต่อหลายครั้ง มักจะอยากมองเห็นเฉพาะสิ่งที่พวกเขาอยากเห็น ดังนั้นกู้ซือเฉียนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับกู้ฉางไห่เธอจึงไม่อยากเห็นนัก
กู้ซือเฉียนในตอนเด็กนั้น ใช้ชีวิตอยู่ข้างกายแม่อันเยือกเย็นอยู่ถึงเจ็ดปี
และในปีที่เจ็ดนั้นแม่ของเขาได้สิ้นชีวิตลง เขาเปลี่ยนจากลูกนอกสมรสกลายมาเป็นเด็กกำพร้า
โชคดีที่เขายังไม่ตกต่ำลำบากถึงกับไม่มีที่ไป
แม้ว่าแม่ของเขาจะตายไปแล้ว แต่คนในตระกูลแม้ว่าอาจจะไม่อยากพบเขาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาถึงกับต้องสิ้นไร้ไม้ตอก
พวกเขายังคงมอบคฤหาสน์หลังนี้ให้กับเขา อีกทั้งธุรกิจตอนที่แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่และได้ทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครแย่งไป
ดังนั้นแม้ว่าชีวิตของกู้ซือเฉียนในตอนเด็กๆจะไม่ได้ราบรื่นมากนัก แต่เนื่องจากมีธุรกิจเหล่านี้มาคอยค้ำจุนอยู่จึงทำให้พอจะผ่านไปได้บ้าง
พ่อบ้านเก่าแก่ลุงโอ เป็นคนที่ติดตามแม่ของเขามาด้วย และเลี้ยงดูแม่ของเขาตั้งแต่เล็กจนโต
หลังจากที่แม่ของเขาจากไป พ่อบ้านก็ได้อยู่เลี้ยงดูกู้ซือเฉียนต่อจนกระทั่งเขาเติบโต สำหรับกู้ซือเฉียนนั้นเขาเป็นคนที่สำคัญมากเลยทีเดียว
อาจกล่าวได้ว่าหากไม่มีลุงโอ กู้ซือเฉียนอาจจะตายไปตั้งนานแล้วก็ได้
เนื่องจากว่าแม้จะมีเงินทองแต่เด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบครอบครองเงินทองมากมายขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องดีนัก ดีไม่ดีอาจจะสร้างปัญหากับตัวเองด้วยซ้ำ
แต่หากว่ามีลุงโอ พ่อบ้านอันชาญฉลาดเช่นนี้อยู่เคียงข้างก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ลุงโอไม่เพียงแต่คอยดูแลเขาในเรื่องชีวิตประจำวันแต่ยังช่วยเขาดูแลเรื่องธุรกิจด้วย
อีกทั้งลุงโอตระหนักดีถึงความเหมาะสม ทุกเรื่องราวเขาได้ช่วยกู้ซือเฉียนจัดการอยู่จนกระทั่งอายุสิบแปด และหลังจากที่เติบโตพอจนสามารถรับผิดชอบหน้าที่ตนเองได้แล้ว ลุงโอก็ได้ถอยออกมา
ตอนนี้ ในคฤหาสน์มีคนรับใช้มากมาย แต่ละคนล้วนทำหน้าที่ของตนเอง ส่วนลุงโอก็ยังคงเป็นพ่อบ้านตามเดิม
แต่ละวันในคฤหาสน์นี้ เขาจะช่วยดูแลคฤหาสน์ และเรื่องส่วนตัว
เขาไม่เคยเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายนอกเลย
ข้อนี้ถือว่าทำได้ยากเลยทีเดียว
เนื่องจากในโลกนี้ทุกคนรู้ดีว่าการได้รับอำนาจนั้นง่ายดายแต่การปล่อยวางลงช่างยากนัก ลุงโอเข้ามาจัดการคฤหาสน์หลังนี้ ในตอนนั้นกู้ซือเฉียนอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น
ตลอดสิบปีมานี้ลุงโอคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ ทุกประการ แต่ไม่เคยคิดจะอ้างถึงบุญคุณเลย
หลังจากที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และไม่เคยทำตัวรักในอำนาจเงินทองจนไม่อาจวางมือลง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนฉลาดและน่าเชื่อถืออย่างไร
ด้วยเหตุผลนี้เอง กู้ซือเฉียนจึงได้เคารพและไว้วางใจเขามาก
กล่าวได้ว่ากู้ซือเฉียน ไม่เคยเห็นเขาเป็นคนอื่น แต่ปฏิบัติต่อข่าวในฐานะผู้อาวุโส
เรื่องนี้คนในคฤหาสน์ทุกคนรู้ดี
ก่อนหน้านี้ข้างกายของกู้ซือเฉียนไม่เคยมีผู้หญิงมาก่อน ซึ่งลุงโอก็กังวลอยู่เช่นกัน
เนื่องจากตนดูแลเขามาตั้งแต่เล็กจนโตและรู้ว่าชีวิตของเขานั้น ลำบากเพียงใด ทำให้ในหัวใจแตกต่างจากคนทั่วไป เขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากู้ซือเฉียนจะได้พบกับผู้หญิงที่ห่วงใยและดูแลความรู้สึกของเขาได้
ไม่เพียงแต่ดูแลร่างกายภายนอกแต่ยังช่วยปลอบประโลมจิตใจด้วย
หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาจะพยายามเคาะตีเท่าไหร่จากภายนอกเช่นไร ก็ไม่เคยเห็นกู้ซือเฉียนเปิดใจยอมรับ
เขาเหมือนกับคนที่ไม่มีโชคด้านความรักเอาเสียเลย
ลุงโอจึงยอมรับชะตากรรม เขาแทบจะคิดว่ากู้ซือเฉียนไม่ชอบผู้หญิง และรู้สึกว่าไม่มีความหวังได้แล้วจึงได้ถอดใจ
คิดไม่ถึงว่าในเวลาเช่นนี้เขาจะพาผู้หญิงคนหนึ่งกลับมาบ้าน
เนื่องจากลุงโอไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เพียงแค่ถูกกู้ซือเฉียนช่วยชีวิตมาเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเขาพาผู้หญิงกลับมา จึงคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ธรรมดา
เขาจึงได้เดินหน้าติดตามเข้าไปด้านในด้วยความดีอกดีใจ
รถคันนั้นตรงเข้าไปจอดในที่จอดรถคันข้างในสุด มีคนรับสายลงมาเปิดประตูให้ และกู้ซือเฉียนก็ลงจากรถ
ข้างหลังรถด้านใน หญิงสาวเดินลงมา เมื่อมองเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตมโหฬารนี้เธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงอ้าปากค้าง เสียจนสามารถใส่ไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งฟอง!
กู้ซือเฉียนมองดูเธอคุณคิดแล้วเอ่ยถามว่า “บ้านของคุณอยู่ที่ไหน?”
หญิงสาวจึงได้สติกลับคืนมาเธอมองดูเขาแล้วรีบตอบว่า “ฉันไม่ใช่คนที่นี่ ฉันเป็นคนจีน”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ กู้ซือเฉียนก็หรี่ตาลงมอง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะยังคงเป็นชาวนาที่อยู่ในชนบทดั้งเดิม แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าเขาแตกต่างจากตอนอยู่ในหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตานั้นที่แหลมคมราวกับมีดดาบแฝงไปด้วยความเยือกเย็น เหมือนกำลังจี้ไปที่หัวใจของเธอ จนทำให้เธอแทบจะขาดใจ
เธออดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปและรู้สึกถึงความกลัวเล็กน้อย
แต่ว่ากู้ซือเฉียนไม่ได้ทำอะไรเธอ
เขาเพียงแค่นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วมองเธอ ก็หันหลังเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
เขาก้าวออกไปได้ก้าวเดียวก็หยุดลงแล้วพูดว่า “ให้พ่อบ้านพาคุณไปพักผ่อนก่อนแล้วพรุ่งนี้ผมจะให้คนส่งคุณกลับบ้าน”
เมื่อพูดจบ เขาก็หายเข้าไปในอาคารหลังใหญ่
เธอยืนตกตะลึงอยู่ที่นั่น สายตามองตามร่างที่ค่อยๆเลือนหายไป เนิ่นนานทีเดียวเธอก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา