หลินเยว่เอ๋อร์เห็นเขาไม่พูดอะไร อีกทั้งยังคิดว่าตนเองได้ถามคำถามที่ไม่ควรถามจึงเกิดความกลัวในใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่กำลังคิดว่าควรจะพูดอะไรอีกสักนิดดีจากนั้นก็รีบออกไป
ก็ได้ยินเสียง “อือ” เบาๆ จากเขา
ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะเบามาก แต่มันกลับเป็นเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่หล่นลงในห้วงทะเลใจของหลินเยว่เอ๋อร์
เธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับ ท้ายที่สุดเธอก็เพียงแค่…
ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างผุดขึ้นในใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาของเธอแสดงความสับสนเล็กน้อย
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านั้นหล่อเหลามาก ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นใครหล่อขนาดนี้มาก่อน ด้วยออร่าที่แข็งแกร่งให้ความรู้สึกแปลกแยกแบบผู้สูงศักดิ์
แต่เป็นเพราะความรู้สึกแปลกแยกนี้เองที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนกับครั้งแรกที่เธอได้เจอผู้ชายที่เธอชอบ
แต่กู้ซือเฉียนกลับไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากยอมรับก็มองไปที่เธอและพูด: “หลังจากกลับประเทศไปก็ลืมเรื่องที่นี่ซะ เข้าใจไหม?”
เขาหรี่ตาเบาๆ อยู่ตลอดและมีแววความอันตรายฉายออกมาจากดวงตา
หลินเยว่เอ๋อร์ใจสั่น เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยจากการจ้องมองนั้น แต่เธอก็ส่ายหัวอย่างต่อเนื่อง
“ฉันไม่กลับประเทศ”
กู้ซือเฉียนผงะ
เห็นเพียงหญิงสาวตรงหน้าก้มหน้าลงเล็กน้อย กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า: “ฉันไม่กลับประเทศ คุณช่วย…อย่าส่งฉันกลับไปได้ไหม?”
กู้ซือเฉียนส่งเสียงเบาๆ
เสียงหัวเราะเบาๆ เอ่อล้นออกมาจากลำคอของเขาพร้อมกับความเยาะเย้ยในเสียงที่เหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ
“เธออยากอยู่กับฉัน?”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจ!
สุดท้ายก็ยังรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป “ก็คุณซื้อฉันแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ฉัน ฉันสามารถ…”
“ไม่จำเป็น”
ยังไม่ทันจะพูดจนจบก็ถูกผู้ชายคนนี้ขัดจังหวะแล้ว
ความอับอายและกระอักกระอ่วนที่พูดไม่ออกอยู่เต็มหัวใจของหลินเยว่เอ๋อร์ เธอเงยหน้าขึ้นและมองที่เขา กะพริบตาและขอบตาแดงเล็กน้อย “ทำไมคะ?”
กู้ซือเฉียนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและมองดูเธออย่างเฉยเมยในท่าทางสบายๆ
“ในเมื่อเธอเห็นหน้าตาที่แท้จริงของฉันแล้วก็ควรจะเข้าใจ ฉันไม่ใช่คนที่เธอคิดว่าฉันเป็น ฉันไม่ได้ซื้อเธอ ที่พาเธอกลับมาก็เพียงเพราะหวังดี แน่นอนว่าหากเธอคิดว่าไม่ต้องการความหวังดีนี้ ฉันให้คนกลับไปส่งเธอที่เมืองนั้นก็ได้ ฉันเชื่อว่าพี่น้องตระกูลเกาคงจะดีใจที่ได้เจอเธออีก”
เมื่อยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของหลินเยว่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปทันที
เธอส่ายหน้าสุดชีวติและพูด: “ไม่! ฉันไม่ไป!”
กู้ซือเฉียนหัวเราออกมาเบาๆ
หลินเยว่เอ๋อร์มองไปที่การเยาะเย้ยในดวงตาของเขา ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ใบหน้าของเธอซีดขาว
กู้ซือเฉียนพูดเบาๆ: “เธอจำไว้ พี่น้องตระกูลเกาไม่ใช่คนดี ฉันเองยิ่งไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นเก็บความคิดเพ้อเจ้อของเธอแล้วกลับประเทศไปแต่โดยดี ครอบครัวของเธอรอเธออยู่ หือ?”
นี่คงจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่อดทนพูดอะไรได้ยาวขนาดนี้
ซึ่งแม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไม หรือว่าเพียงเพราะดวงตาเหล่านั้นมีจุดคล้ายกับเธออยู่ห้าหกส่วนกัน?
กู้ซือเฉียนไม่สามารถจะค้นหาคำตอบจากส่วนลึกในใจของเขา หรือจะพูดว่าเขาไม่คิดอยากจะหาคำตอบนั้น
หลังจากพูดแบบนั้นไป เขาก็หมดความอดทนและปล่อยสุนัขทั้งสองตัวให้พวกมันไปหาลุงโอว จากนั้นก็หันหลังและเดินไปอีกทาง
ในตอนนี้เองก็มีเสียงของหญิงสาวดังตามหลังเขามา
“ฉันไม่ได้มาเที่ยวแล้วถูกหลอกมาขาย! ฉันหนีการแต่งงานมา ฉันขอให้คุณช่วยฉันได้ไหมคะ ถ้าหากคุณส่งฉันกลับ ฉันคงถูกพ่อจับแล้วให้ไปแต่งงานกับตาแก่น่าเกลียดที่แก่กว่าฉันยี่สิบกว่าปี ชีวิตฉันคงจบเห่นับจากนี้! คุณช่วยฉันสักครั้งได้ไหมคะ?”
น้ำเสียงของหญิงสาวมีความสั่นเครือเล็กน้อยและแอบระคนเสียงสะอื้น
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว
ความทรงจำเลือนรางไปตามกาลเวลา และจู่ ๆ ก็ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน
เด็กสาวร่างผอมบางคนนั้นคว้าแขนเสื้อเขาแน่นและบอกเขาว่า คุณช่วยฉันเถอะนะคะ ถ้าคุณไม่ช่วยฉัน ชีวิตฉันคงจะจบสิ้น!
หัวใจดูเหมือนจะโดนอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรง
เขายกมุมริมฝีปากอย่างเย้ยหยัน กลับไม่มีความอบอุ่นในดวงตาของเขาแม้แต่น้อยและไม่แม้แต่จะหันมา
ได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ชีวิตของเธอ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”
พูดจบเขาก็ก้าวออกไป
หลินเยว่เอ๋อร์ไม่เคยคิดฝันว่าสิ่งที่เธอจะได้รับจะเป็นผลลัพธ์เช่นนี้
เธอพูดขนาดนี้แล้ว ไม่นึกเลยว่าเขาจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลยสักนิดแถมยังพูดว่า…เกี่ยวอะไรกับเขา?
สุดท้ายแล้วเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ!
หลินเยว่เอ๋อร์โกรธถึงขีดสุดแต่เธอก็หมดหนทาง ที่นี่เป็นพื้นที่ของกู้ซือเฉียน เธอจึงไม่กล้าแม้แต่จะโกรธเขา
เมื่อคิดแบบนี้ เธอยืนอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เช็ดน้ำตาและกลับเข้าห้องไป
ก่อนอาหารเย็น ลุงโอวมาเรียกเธอให้ไปกินข้าวเย็น
หลินเยว่เอ๋อร์ตามไปอย่างว่าง่าย และพบว่าบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่นั้นมีตนเองอยู่คนเดียว กู้ซือเฉียนไม่ได้อยู่ที่นั่นเลย
เธองุนงงเล็กน้อยและถามด้วยความสงสัย: “ลุงโอวคะ คะ…คนคนนั้นล่ะคะ?”
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงไม่รู้ชื่อของกู้ซือเฉียน ดังนั้นจึงได้แต่เรียกเขาว่าคนคนนั้น
ลุงโอวได้ยินแล้วจึงยิ้มและตอบ: “คุณขายท่านไม่ชินกับการรับประทานอาหารร่วมกันคนอื่น จึงรับประทานอาหารที่อีกห้องหนึ่งแล้วครับ”
นี่เป็นคำพูดที่อ้อมค้อมมาก แต่ความจริงแล้วกลับเหมือนกับหมัดที่ต่อยเข้าหน้าของหลินเยว่เอ๋อร์อย่างจัง
เธอช้อนสายตาลงเล็กน้อย กัดริมฝีปากและขอบตาแดง
คนคนนี้เกลียดตัวเองขนาดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ?
แม้แต่กินข้าวเขายังไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับตนเองเลยเหรอ?
เขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันนะ?
แม้ว่าจะมีความคับข้องใจและความสงสัยในหัวใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
หลินเยว่เอ๋อร์ไม่อยากจะกลับประเทศ ที่จริงแล้วถึงแม้เธอจะพบเจอกับหายนะนี้และสภาพจิตใจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีความหวังในชีวิตของตนเอง
เธอไม่อยากจะกลับประเทศอาศัยฟังเพียงคำพูดของพ่อแต่งงานกับตาแก่น่าเกลียด ดังนั้นเธอต้องคิดหาวิธีให้กู้ซือเฉียนล้มเลิกความคิดจะส่งเธอกลับประเทศให้ได้
แต่ตอนนี้เธอไม่ได้เจอใครเลยแล้วจะล้อมเลิกมันได้ยังไง?
หลินเยว่เอ๋อร์ก็คิดจะหนีแต่ หนึ่ง ตอนที่เข้ามาเธอพบว่าที่นี่รักษาความปลอดภัยแน่นหนา ไม่สามารถหนีไปได้ง่ายๆ
สอง เธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เอกสารแสดงตัวตนก็ถูกผู้ชายคนนั้นทิ้งไปหมดแล้วตอนที่ลักพาตัวไปขาย
เธอไม่มีเอกสารอะไรติดตัวที่สามารถยืนยันตัวตนของตนเองได้เลย ต่อให้หนีไปได้ก็กลัวว่าจะดำรงชีวิตได้ยาก
ถ้าเกิดอันตรายขึ้นอีกคงจะแย่แน่
และยังมีอีกจุดหนึ่งคือ ห่างออกไปทางใต้เล็กน้อยจากที่นี่คือเขตสงคราม ข้างนอกวุ่นวายมาก เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงเธอไม่มีความกล้ามากพอที่จะออกไปข้างนอกคนเดียว
หัวใจของหลินเยว่เอ๋อร์สับสนปนเป็นอย่างมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ได้เลย
แต่ทั้งหมดนี้จะต้องได้พบกับกู้ซือเฉียนเสียก่อนจึงจะหาทางแก้ปัญหาได้
ในตอนนั้นเองมีคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน
ลุงโอวเห็นเขาแล้วจึงถาม: “มีเรื่องอะไร?”
คนคนนั้นน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งภายในปราสาทในมือของเขามีซองจดหมายซองหนึ่งและพูดขึ้น: “พ่อบ้านโอว เมื่อครู่มีคนส่งจดหมายมาฉบับหนึ่งจ่าหน้าเป็นชื่อคุณชายครับ”