เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อนข้างแปลกใจ
สุดท้ายแล้วในตอนที่เขาออกมา หลินเยว่เอ๋อร์ยังนั่งกินข้าวอยู่ตึกด้านข้างเลยนี่นา ทำไมถึงได้วิ่งมาที่นี่ได้เร็วขนาดนี้?
เมื่อคิดว่ากู้ซือเฉียนยังอยู่ในห้องหนังสือ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปแล้วรีบเดินเข้าไป
อีกด้าน หลินเยว่เอ๋อร์ก็กำลังงุนงง
เมื่อกี้สาวใช้คนนั้นบอกเพียงแต่ว่ากู้ซือเฉียนอยู่ในห้องหนังสือชั้นบน แต่ไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่าห้องไหนคือห้องหนังสือ
หลังจากเธอขึ้นมาชั้นบนแล้วจึงพบว่า ข้างบนนี้มีห้องอยู่หลายห้องมากและทุกห้องก็ปิดประตู เธอไม่รู้ว่าห้องไหนคือห้องหนังสือ
ด้วยความสิ้นหวัง เธอจึงได้แต่หามันไปทีละห้องๆ
เธอไม่กล้าจะขยับตัวมากมายและดูเหมือนตัวเองไม่รู้จักมารยาท ดังนั้นจึงได้แต่แอบเปิดประตูเงียบๆ ทุกครั้ง
เป็นแบบนี้ ในสายตาคนอื่นจะดูเหมือนกำลังสาละวนทำอะไรลับๆ ล่อๆ
ในตอนที่ลุงโอวเดินเข้าไปเธอวางถาดไว้ที่พื้นแล้ว จากนั้นก็จับลูกบิดและแนบกับบานประตูและเปิดแล้วยื่นหัวเข้าไปดู
พบว่าด้านในเป็นเพียงห้องเปล่า ไม่ใช่ห้องหนังสือที่เธอกำลังหา ซึ่งเธอผิดหวังเล็กน้อยแล้วถอยออกมา
เมื่อปิดประตูก็ก้มลงไปหยิบถาดอาหารแล้วลุกขึ้นและหันหลังกลับ
ไม่คิดว่าพอหันกลับมาก็เจอคนคนหนึ่ง
เธอตกใจและร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเสียงนั้นกำลังจะออกมาจากลำคอของเธอลุงโอวก็ปิดปากของเธอไว้
ลุงโอวปิดปากเธอแล้วลากเธอไปอีกด้าน จากนั้นก็ปล่อยแล้วสอบถาม: “คุณหลิน ทำไมคุณถึงมาที่นี่ครับ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ไม่พอใจที่ลุงโอวปิดปากและลากเธอออกมาเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อคิดว่าเขายังเป็นพ่อบ้านในปราสาทแห่งนี้ แต่ตนเองก็เป็นเพียงแขกผู้อาศัยเท่านั้น เธอจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นเอาไว้ในใจ
เธอได้แต่เก็บเรื่องราวเล็กๆ ไว้ในใจ รอจนกว่าตนเองจะได้เข้ามาในปราสาทและเป็นคุณนายกู้ และเธอจะต้องตอบแทนเธอแน่นอน
เมื่อคิดแบบนี้ สีหน้าของเธอก็อ่อนโยนขั้นมาและใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก: “ลุงโอวคะ ฉันมาหาคุณกู้ค่ะ”
ลุงโอวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
“คุณมีธุระอะไรครับ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ยิ้มและส่งถาดอาหารตรงหน้าและพูด: “คืออย่างนี้ค่ะ เมื่อกี้ตอนฉันกินข้าวอยู่ จู่ ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่าคุณกู้อาจจะยังไม่ได้กินข้าว ดังนั้นก็เลยตั้งใจเลือกอาหารอย่างดีและเอามาส่ง ลุงโอว คุณกู้อยู่ในห้องหนังสือรึเปล่าคะ?”
ลุงโอวสีหน้าขรึมแล้วพูด: “ผมบอกคุณแล้วว่าคุณชายรับประทานอาหารที่อีกห้อง ของพวกนี้คุณนำกลับไปเถอะครับ เขาไม่ต้องการ”
เดิมทีคิดว่าคำพูดรุนแรงแบบนี้จะทำให้หลินเยว่เอ๋อร์กลัวและกลับไป
คิดไม่ถึงว่ากลับดูเหมือนหลินเยว่เอ๋อร์จะไม่ได้ฟังอยู่เลย
เธอถือถาดอาหารและยิ้มให้ตัวเองแล้วพูด “ลุงโอวคะ คุณไม่ใช่เขาสักหน่อย คุณลุงรู้ได้ยังไงคะว่าเขาไม่ต้องการ? ดึกขนาดนี้แล้วคุณกู้ยังยุ่งอยู่คงจะยังไม่ได้กินอะไร แน่ ๆ ฉันไม่มีอะไรทำพอดี ก็เลยจะนำอาหารมาให้เพื่อเป็นการแสดงความซาบซึ้งใจของฉันสักหน่อยค่ะ”
พูดจบก็ตั้งท่าจะเข้าไปอย่างไม่สนใจอะไร
ลุงโอวเห็นแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป
และรีบขวางเธอไว้อีกครั้ง
“คุณหลินคุณชายไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปในห้องหนังสือ คุณกลับไปเถอะครับ”
หลินเยว่เอ๋อร์หันไปมองเขา
สายตาเย็นชาเล็กน้อย
“คุณชายของพวกคุณเป็นคนพูดเหรอคะ?”
ลุงโอวพูดเสียงเข้ม: “เป็นเช่นนั้นครับ”
“แต่ฉันไม่ได้ยินตอนที่เขาพูดสิ่งนี้นี่คะ ฉันไม่อยู่ที่นี่แน่ ๆ คำพูดนั้นไม่น่าจะพูดกับฉัน เขาออกกฎให้กับพวกคุณ พวกคุณรักษากฎก็ดีแล้ว แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”
น้ำเสียงเธอนุ่มนวลและหัวเราะ แต่ทุกคำพูดที่ออกมานั้นกลับมีความแข็งกร้าวอยู่ในน้ำเสียง
ลุงโอวคิดไม่ถึงว่าเธอจะมีท่าทีแบบนี้
จู่ ๆ ก็จุกจนพูดไม่ออก
หลินเยว่เอ๋อร์หันไปมองเขาที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง
สายตาของเธอมองไปที่ประตูบานที่เขาเพิ่งจะออกมาแล้วยิ้มและพูด: “นั่นคือห้องหนังสือสินะคะ? ลุงโอว คุณไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ ฉันนำอาหารไปให้เสร็จก็จะออกมาเลย คุณกู้อยู่ในนั้นตั้งนานขนาดนี้แล้ว ถ้าหิวคงจะไม่ดี ฉันเข้าไปก่อนนะคะ”
พูดจบ เธอก็ไม่สนใจปฏิกิริยาและก้าวเท้าออกไป
ลุงโอวเห็นเช่นนั้นก็กังวลขึ้นทันที
เขาคิดจะขวางเธอไว้ แต่หลินเยว่เอ๋อร์เตรียมพร้อมมาเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อเธอหันหลังกลับก็หลบได้
ท้ายที่สุดเธอยังอายุน้อยและคล่องแคล่ว ลุงโอวไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่ไร้มารยาทแบบนี้มาก่อน แล้วจะเตรียมการทันที่ไหน?
โดยไม่ทันได้ป้องกันจึงทำให้เธอแอบเข้าไปได้ จนเขาได้สติและคิดจะเข้าไปขวางเธอก็วิ่งเข้าไปแล้ว กว่าจะเห็นก็ถึงหน้าประตูห้องหนังสือแล้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป และโวยวายในใจแล้วรีบตามไป
“คุณหลิน! คุณหลินหยุดก่อน!”
เขาร้องเรียกจากด้านหลังไม่หยุด แต่หลินเยว่เอ๋อร์ไม่สนใจเขาเลย
ทันทีที่ยกมือขึ้น เธอก็ผลักประตูห้องหนังสือซึ่งถูกปิดเอาไว้
ในห้องหนังสือ กู้ซือเฉียนยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างบานใหญ่หันหลังให้ปประตูและโทรศัพท์อยู่
เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลังจึงหันไปก็พบหลินเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าประตู
วันนี้หลินเยว่เอ๋อร์สวมชุดเดรสสีเบจ ซึ่งเธอเลือกอย่างระมัดระวังจากตู้เสื้อผ้าเมื่อเธอพักผ่อนในห้องรับแขกก่อนอาหารค่ำ
ท้ายที่สุด เมื่อก่อนฐานะทางบ้านของเธอก็ไม่ได้แย่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเสื้อผ้าและสินค้าหรูก็ไม่เคยจะขาดมือ
ในช่วงเวลานี้ เธอถูกรังแกและพลัดถิ่น และเธอคิดถึงการชีวิตก่อนหน้านี้มาก
หากไม่ใช่เพราะไม่อยากจะแต่งงานกับตาแก่น่าเกลียดคนนั้น เธอคงกลับไปนานแล้ว
แต่เธอไม่อยากจะยอมแพ้ชะตาชีวิตตัวเองด้วยเหตุผลนั้น ดังนั้นจึงได้ยืนหยัด แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ตอนนี้เธอจึงไม่อาจจะที่จะไม่ใช้ของดีที่อยู่ตรงหน้าเธอ
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เธอมีแผนที่ตนเองคิดเองว่ายอดเยี่ยม
ต้องเข้าใจก่อนว่ากู้ซือเฉียงนั้นเป็นหนึ่งในตระกูลกู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นตัวเต็งในการสืบทอดกิจการตระกูลเกาซึ่งเป็นไปได้สูงมากว่ากู้ซื่อกรุ๊ปทั้งหมดจะตกอยู่ในมือเขาในอนาคต
ต่อหน้าเขา บริษัทที่พ่อของตนเองเป็นเจ้าของนั้นเหมือนกับจอกแหนกับต้นไม้ใหญ่และมันก็หาที่เปรียบไม่ได้เลย
ถ้าหากตนเองสามารถจับเขาได้ ถึงเวลานั้นเมื่อกลับไปไม่แน่ว่าอาจจะไม่เพียงแต่จะไม่ต้องแต่งงานกับชายแก่อายุกว่าครึ่งร้อยคนนั้น อาจจะทำให้พ่อของตนตะลึงตาค้างเลยก็ได้
เมื่อก่อนหลินเยว่เอ๋อร์เชื่อมั่นแต่ในความรัก
รู้สึกว่าผู้หญิงของเพียงมีรัก อย่างอื่นก็ไม่มีความหมายอะไรอีก
แต่เมื่อผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายเธอจึงพบว่า แท้จริงแล้วในชีวิตปัจจุบันนี้ เมื่อปราศจากเสื้อผ้าหรูและต้องทำเพื่อปากท้องแล้ว ความรักนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย
ครั้งหนึ่งเธอเคยฝากใจกับผู้ชายที่รักจริง แต่สุดท้ายเขาก็ขายเธอ
เธอโกรธมากจนอยากจะกลับไปแก้แค้น
แต่ด้วยสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ เธอไม่มีความสามารถจะไปแก้แค้นใครได้
อย่าพูดแต่แก้แค้นเลย หากเพียงแค่เธอปรากฏตัวในประเทศ ไม่แน่ว่าเธอคงจะถูกพ่อจับตัวกลับไปในทันที ถึงเวลานั้นพ่ออาจจะไม่รับฟังเธอแล้วและรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นคำพูดหลอกลวงเหมือนที่เคยพบเจอเพราะไม่อยากจะให้ตนเองต้องแต่งงานเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น ในใจของเธอยังแอบค้นพบอะไรบางอย่างที่ไม่ชัดเจน