เธอพูดใบหน้ายิ้มแย้มที่อ่อนหวานและว่าง่าย
น้ำเสียงก็ออดอ้อนน่าฟัง
ความงามนี้ออดอ้อน อ่อนโยน และเล็ก และหลินเยว่เอ๋อร์สวยกว่ามาตรฐานทั่วไปจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ คุณพ่อหลินคงจะไม่ตามใจเธอถึงขนาดนี้ สุดท้ายก็ส่งเธอให้ไปเอาอกเอาใจผู้ชายคนอื่นในวงธุรกิจ
จากเหตุนี้จึงรู้ได้ว่าหลินเยว่เอ๋อร์นั้นจะต้องมีรูปลักษณ์และหน้าตาที่ดี
ในสถานการณ์เช่นนี้ เวลาแบบนี้ หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะหลงในเสน่ห์และความสวยของเธอจนหัวปักหัวปำแล้ว
อย่างไรเสีย กู้ซือเฉียนกลับจ้องมองเธอด้วยสายตาเฉยชา
สายตาคู่นั้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มผสมกับความไม่แยแส กลายเป็นการเยาะเย้ยที่น่าอับอาย
เขาพูดเยาะ: “พ่อครัวในปราสาทตายแล้วเหรอ? ถึงจะให้ฉันกินอาหารฝีมือเธอ?”
หลินเยว่เอ๋อร์: “…”
เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดจากับเธออย่างไร้อารมณ์แบบนี้และเธอไม่สามารถจะควบคุมสีหน้าได้
สุดท้ายแล้วเป็นใครก็ตามที่ทำงานอย่างหนักเพื่อรับใช้ผู้อื่นจะรู้สึกอับอายหากพวกเขาปฏิเสธกลับมาอย่างไร้ความปราณี
แต่หลินเยว่เอ๋อร์ในช่วงหลังมานี้ก็ผ่านเรื่องอะไรมามากเช่นกัน
ดังนั้นความอับอายเพียงแค่นี้ก็ทำให้เธอรู้สึกเพียงครู่เดียวแล้วเธอก็รีบกดความรู้สึกนั้นไว้อย่างรวดเร็ว
เธอวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะด้านข้าง ยิ้มและพูด: “คุณกู้ไม่อยากกินอาหารที่ฉันทำก็ไม่เป็นไรค่ะ เยว่เอ๋อร์เพียงแค่อยากจะขออะไรคุณสักอย่าง ขอเพียงคุณรับปาก คุณจะให้ฉันทำอะไรฉันก็ยอม?”
กู้ซือเฉียนมองเธออย่างเย็นชา
หลินเยว่เอ๋อร์ก้มหน้าเล็กน้อย นิ้วมือประสานกันแน่นอยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น: “เรื่องที่บอกกับคุณก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงนะคะ ถ้าหากคุณส่งฉันกลับประเทศไปจริงๆ ฉันจะถูกพ่อบังคับให้แต่งงาน”
เธอชักงักแล้วพูดต่อ: “คุณกู้อยู่ในจุดสูงสุดตั้งแต่เกิด บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจความยากลำบากของผู้หญิงธรรมดาอย่างเรา ต้องเข้าใจนะคะว่าสำหรับเราแล้ว การแต่งงานเท่ากับการเปลี่ยนชะตาชีวิตของเราไปเลย”
“ฉันก็เหมือนกับผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เรียนหนังสือ ทำงาน ใช้ชีวิตของตนเอง ทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำ และไม่อยากจะถูกบังคับให้แต่งงานกับคนแก่คราวพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย”
“บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสได้ลืมตาอ้าปากสำหรับผู้หญิงบางคน แต่กับฉันแล้วมันไม่ใช่เลย”
“ฉันสามารถจะทำทุกอย่างให้กับครอบครัวได้ แต่นั่นไม่รวมถึงการสละชีวิตและความรักของฉัน คุณกู้คะ ถือว่าฉันขอร้องคุณ ช่วยฉันเถอะนะ ได้ไหมคะ?”
กู้ซือเฉียนยังคงดูนิ่งสงบ
เขานั่งอยู่บนโซฟาโดยนั่งท่าไขว่ห้างและเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าและห่างเหิน
และคำพูดที่พูดออกมาก็ยังคงเย็นชาจนแทบจะเหลือทน
“ทำไมฉันต้องช่วยเธอ?”
ใช่ว่าหลินเยว่เอ๋อร์จะไม่รู้คำตอบของเขา
เพียงแต่เวลาที่ได้ยินมันจริงๆ ในใจก็อดจะสะดุดกึกไม่ได้และรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
เธอพูดเสียงต่ำ: “คุณกู้อยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำค่ะ! ถ้าฉันทำได้”
รวมทั้ง…เอาตัวเข้าแลก
เธอไม่ได้พูดคำนี้ออกไป แต่กู้ซือเฉียนกลับดูเหมือนจะเดาได้
ความเย้ยหยันในดวงตานั้นยิ่งหนักหนาและพูดเยาะเย้ย: “งั้นเธอลองพูดมาสิ ฉันควรจะให้เธอทำอะไรบ้าง?”
หลินเยว่เอ๋อร์อึ้งไป
ถึงแม้เธอจะคิดเรื่องเอาตัวเข้าแลกอยู่ในหัว แต่คำพูดแบบนี้ จะให้เธอซึ่งเป็นผู้หญิงพูดออกไปได้ยังไง?
แต่ตอนนี้มาก็มาแล้ว ลูกธนูที่อยู่บนคันศรจะไม่ยิงก็ไม่ได้แล้ว
เธอลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเธอก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วมองเขาอย่างจริงจังแล้วพูด: “หากคุณกู้ยินยอม ฉันสามารถเป็นผู้หญิงของคุณ คอยรับใช้ปรนนิบัติคุณกู้ไม่ห่าง ขอเพียงคุณไม่ไล่ฉันไปและไม่ส่งฉันกลับประเทศ ฉะ…ฉันยอมที่จะไม่ออกหน้าค่ะ”
เธอกัดริมฝีปากกับคำพูดสุดท้ายและพูดมันออกไปด้วยความอดสูใจ
ที่สุดแล้ว เธอเองก็เคยเห็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์มาก่อนเหมือนกัน
มีแต่มีอำนาจและอยู่เหนือคนอื่นมากมาย เคยจะต้องก้มหัวให้ใคร พูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้เสียที่ไหนกัน?
แต่กับกู้ซือเฉียนนั้นไม่เหมือนกัน
เธอรู้ว่าหากตนเองไม่แสดงออกซึ่งความจริงใจ เกรงว่าอย่าว่าแต่อีกฝ่ายจะยอมเห็นด้วยกับคำขอของตนเองเลย แม้แต่มองเธอสักนิดก็คงไม่คิดจะมองด้วยซ้ำ
ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เขากลายเป็นทางออกเดียวของเธอแล้ว
ดังนั้นเธอยอมทิ้งศักดิ์ศรีและไม่สนใจอะไรแล้ว ขอเพียงเขายอมรับปากว่าจะให้เธออยู่ข้างๆ เขา จะให้เธอทำอะไรก็ยอม
อย่างไรเสียหลินเยว่เอ๋อร์คิดว่าคำขอของตนนั้นเป็นอะไรที่ลำบากใจที่สุดแล้ว แต่ในสายตาของกู้ซือเฉียนกลับไม่มีค่าอะไรเลย
เขาไม่แม้แต่จะตอบโต้ใดๆ หลังจากที่เธอพูดบางอย่างที่ทำให้ลูกผู้หญิงจะต้องรู้สึกละอายใจ
เขายังคงมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ความเย้ยหยันในดวงตาเหมือนกับมีดพกที่กรีดหัวใจเธอไม่ยอมหยุด
ครู่หนึ่งเขาก็เปิดปาก: “เธอคิดว่าฉันขาดผู้หญิงเหรอ?”
หลินเยว่เอ๋อร์อึ้งไป
หน้าเธอร้อนผ่าวด้วยความอาย
กู้ซือเฉียนหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูก
“อย่าบอกว่าเธอไม่ต้องการออกหน้า ต่อให้เธอคุกเข่าขอร้อง ฉันก็ไม่ต้องการเธอ ดังนั้นเก็บจินตนาการและความคิดเพ้อเจ้อของเธอไว้เถอะ เข้าใจนะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจอย่างรุนแรง
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาใจร้ายไปหน่อย ประโยคนี้ก็ตบหน้าเธออย่างแรงแล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึงและมองเขาอย่างไม่เหลือเชื่อ ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจากปากเขาได้
ที่สุดแล้ว เขาช่วยชีวิตเธอไว้และพาเธอออกมาจากขุมนรกนั่น
ตอนนี้กลับยืนกรานจะส่งเธอกลับประเทศ
เธอเข้าใจว่าเขาคงจะชอบเธออยู่บ้าง หรือคงจะมีความรู้สึกดีกับเธอ ดังนั้นจึงได้ช่วยเธอแบบนี้
แต่ตอนนี้ คิดไม่ถึงเขาจะพูด…
หลินเยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากอย่างสุดจะทน ดวงตาที่สดใสของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และน้ำตาของเธอก็ไหลวนอยู่ในนั้น ราวกับว่ามันอาจร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย อดทนต่อความอัปยศและถาม “งั้นคุณช่วยฉันทำไม? ถ้าหากไม่ได้ชอบฉัน ทำไมจะต้องเอาแต่จะส่งฉันกลับประเทศ? ทิ้งฉันไว้ข้างนอกให้ไปตายเอาเองข้างนอกก็ได้จะได้ไม่ต้องให้มากเรื่อง?”
กู้ซือเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าหากเธออยาก ฉันโยนเธอออกไปตอนนี้เลยก็ได้ เธออยากจะลองไหมล่ะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์: “…”
นิ้วของกู้ซือเฉียนยังคงเล่นกับแหวนที่สวมและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย: “ที่ช่วยเธอ ก็เพียงเพราะเห็นว่าเป็นคนประเทศจีนเหมือนกัน หากว่ามันทำให้เธอเข้าใจผิด งั้นก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่เธอไม่มีคุณสมบัติจะเป็นคุณนายกู้ได้หรอก เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีหน้าตา”
ดวงตาของเขามองเธอตามอำเภอใจและไม่เกรงกลัวเหมือนกับมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ความจริงแล้วหลินเยว่เอ๋อร์ก็รู้สึกตัวว่าเหมือนตัวเองจะถูกเขามองออกทุกอย่าง
เพียงได้ยินเสียงหัวเราะที่เย้ยหยันและพูด: “ฉันไม่สนใจจะเล่นของเหลือที่คนอื่นเล่นจนพังแล้วหรอกนะ”
ครืน
เหมือนกับสายฟ้าฟาดลงบนหัวใจของเธอ