ถนนบนภูเขานั้นไม่ค่อยดีและเดินลำบาก
เพราะว่าคนที่มาที่นี่น้อยมาก ถนนที่นี่ก็เลยไม่มีคนมาซ่อม และถนนทุกสาย ยังคงเป็นขั้นบันไดหินอ่อนที่หลงเหลือเมื่อหลายปีก่อน
อาจจะเป็นเพราะว่าสองสามวันก่อนมีฝนตกที่นี่ บันไดที่นี่ก็เลยมีความเปียกชื้นเล็กน้อย
มีแต่ตะไคร่สีเขียวอยู่ด้านข้าง และถ้าเหยียบมันขึ้นไปแล้ว จะลื่นล้มได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง
เฉียวฉีก้มศีรษะลงเล็กน้อย และเดินไปเรื่อย ๆ ทีละก้าว
ข้างหน้าเขา ชายผู้นั้นเดินอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าขั้นบันไดที่สูงชันใต้เท้าสำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรต่างจากพื้นราบเลย
เธอเดินไปข้างหลัง และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นความร่างใหญ่ของเขาจากด้านหลัง
ภายใต้พระอาทิตย์ตกสีทอง ร่างนั้นค่อนข้างโดดเดี่ยวและเย็นชา ราวกับท่ามกลางใบไม้แห่งขุนเขา ยิ่งทำให้จิตใจของผู้คนมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เธอเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไร และเร่งฝีเท้าจามเขาไป
ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง และเกือบห้าโมงเย็น กว่าจะไปถึงที่สุสาน
สุสานสร้างขึ้นตรงครึ่งทางบนภูเขา และในระยะไกล ก็จะเห็นโค้งเสาร์ไฟเหล็กสีเทาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ราวกับชายผู้สง่างาม และแข็งแกร่งที่คอยคุ้มกันผู้คนที่ฝังอยู่ในนั้น
ดวงตาของเฉียวฉีมีความลึกแล้วลึกอีก
เมื่อ กู้ซือเฉียนเดินไปที่ทางเข้าสุสาน ในที่สุดฝีเท้าของเขาก็หยุดลง
เธอหยุดฝีเท้าของเธอด้วย และยืนห่างจากเขาสามก้าว เธอมองขึ้นไปที่ศิลาจารึกบนประตูแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน
“โธ่ มองไม่ออกเลยจริงๆ เถ้าแก่กู้ผู้โด่งดังในเรื่องของคนไร้ความรู้สึกนั้น ที่แท้เป็นชายผู้เปี่ยมด้วยความรักและความชอบธรรม ยังได้สร้างสุสานขนาดใหญ่เช่นนี้ให้พี่น้องของตนเองโดยฉะเพราะ ทำไม? รอใครสักคนมาจุดธูปให้พวกเขาหลังผ่านไปหนึ่งร้อยปีหรือไง จะให้พวกเขากลายเป็นวีรบุรุษเหรอ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ ใบหน้าของชายคนนั้นก็มืดลงทันที
เฉียวฉีสัมผัสได้ถึงลมกระโชกแรงบนใบหน้า และในวินาทีต่อมา หลังของเธอก็เจ็บอย่างกะทันหัน และร่างกายของเธอถูกกดทับอย่างหนักบนเสาหิน
ตอนที่เธออยู่ในคุก แม้ว่าเธอจะไม่ถูกรังแก แต่ความทุกข์ที่เธอได้รับก็ไม่ลดลงเลย
อย่างเช่นเอวของเธอ เพราะก่อนหน้านี้เธอต้องทำงานและก้มตัวนานเกินไป จึงทำให้เอวของเธอเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก
ในเวลานี้ โดนหินแข็งที่หลังกระแทก และรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีดแทงอยู่ในนั้น และความเจ็บปวดนั้นทำให้เธอขมวดคิ้วอย่างรุนแรง
กู้ซือเฉียนบีบคอของเธอไว้ กัดฟันและพูดว่า : “เธอคงคิดว่าผมไม่กล้าฆ่าคุณจริงๆ ใช่ไหม?”
เฉียวฉีโดนเขาบีบคอจนไม่สามารถหายใจได้ แม้แต่หน้าของเธอก็เริ่มแดง
แต่แล้ว เธอกลับสู้ด้วยลมหายใจสุดท้ายของเธอ และยิ้มใส่เขา
สีหน้าที่เหมือนไม่สนอะไรเลย มองดูเขาด้วยความเยาะเย้ย
คำพูดที่พูดออกจากปาก ยิ่งเป็นคำที่ฟังแล้วทำคนหงุดหงิดกว่าเดิม
“เถ้าแก่กู้มีความสามารถขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าฉันเดี๋ยวนี้เลยสิ! พอดีเลย ฝังไว้พร้อมกับพี่น้องของคุณเลย และรอให้คุณลงนรกในอีกร้อยปี คุณจะได้อธิบายให้พวกเขาฟังด้วยเลย”
“เฉียวฉี!”
ชายคนนั้นคำราม
แรงในมือของเขานั้น มากจนเกือบจะบีบคอจนหักได้เลย
ทีนี้เฉียวฉีก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะหัวสมองของเธอเริ่มสูญเสียออกซิเจนและเวียนหัวจนทำให้เธอรู้สึกขาดอากาศหายใจ
เธอมองดูกู้ซือเฉียนอย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อมองดูดวงตาที่แทบจะแดงหมดของชายตรงหน้า ใบหน้าที่หล่อเหลา เพราะความเจ็บปวดและความเกลียดชัง จึงถูกบิดเป็นลูกบอลอย่างโหดร้าย ไม่มีความเป็นผู้กล้าหาญเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ทันใดนั้น เธอรู้สึกเจ็บที่เบ้าตา เหมือนกับบางสิ่งที่เจาะบึ้งก้นในหัวใจของเธอ และทันใดนั้นก็เจาะออก
เธอยิ้มอย่างไม่สนใจใดๆ
ในใจกำลังคิดว่า เฉียวฉีหนอเฉียวฉี ทำไมคุณถึงไม่คิดที่จะเรียนรู้มันเลย?
ผู้ชายคนนี้ ตราบใดที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย คุณก็เริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ แล้วไหนสิ่งที่คุณบอกว่าคุณต้องการแก้แค้น?
ไหนสิ่งที่คุยกันไว้ กับการเอาคืนความทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา คืนให้เขาทีละนิดล่ะ?
ความทรงจำทั้งหมดถูกกินโดยสุนัขแล้วหรือไง?
เธอไม่ได้พูดอะไร และก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ เพราะกู้ซือเฉียนได้บีบคอเธออย่างแน่นหนา ผ่านสักพัก เขาก็ถอนหายใจและปล่อยเธอไป
ความรู้สึกที่ขาดอากาศหายใจพอปล่อยมือก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เฉียวฉีก็ถอยกลับทันที จากนั้นก้มลงและเริ่มไออย่างรุนแรง
กู้ซือเฉียนยืนอยู่อีกฝ่าง มองดูเธออย่างเยือกเย็น
เฉียวฉีไอได้สักพัก หลังจากผ่านไปได้ ก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ทำไม? ไหนบอกจะฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ? ทำได้เพียงเท่านี้เหรอ?”
กู้ซือเฉียนกับสายตาที่มองดูเธอ เย็นยะเยือกจนสามารถเก็นก้อนน้ำแข็งแล้ว
ความรักและความเกลียดชังนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ดูเหมือนจะพังทลายกรงในเวลานี้ และรีบระบายออกไปในทันใด
แต่สุดท้าย เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ยิ้มอย่างเย็นชา
เขาก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว เข้าหาเธอ แล้วเอื้อมมือออกไป จับคางเธออย่างแน่น บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น
ริมฝีปากที่บางของเธอเปิดออกเบา ๆ และคำพูดที่พูดนั้นเย็นชาพอที่จะทำให้หัวใจหยุดนิ่ง
“อยากตายหรือ? ช่างไร้เดียงสาเกินไป! คุณคิดว่าชีวิตแค่ชีวิตเดียวของคุณสามารถทดแทนชีวิตตั้งหลายชีวิตของพวกเขาได้งั้นเหรอ? เฉียวฉีคุณให้ความสำคัญกับตัวเองเกินไปหรือเปล่า”
หัวใจของเฉียวฉีเจ็บอยู่ลึกๆ
แต่แล้ว ยิ่งหัวใจเจ็บปวดมากเท่าไหร่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ยิ่งลึกขึ้นเท่านั้น
เธอก็มองดูมือของเขาอยู่อย่างนั้น บิดคอเล็กน้อย มองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ แล้วถามว่า “แล้วบอสกู้ต้องการอะไร?”
กู้ซือเฉียนยิ้มเย็นชา
ในเวลานี้ เขากลับสู่ความเยือกเย็นและความโหดร้ายเหมือนปกติแล้ว ราวกับว่าความโกรธเคืองและความเสียสติก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นของเขาอย่างั้น
เอานิ้วมือลูบแก้มขาวๆ อย่างเบาๆ ของเธอ น้ำเสียงเขาช่างเงียบงัน พูดทีละคำว่า: ” แน่นอนว่า ต้องการให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อ ค่อยๆ ชดใช้ให้พวกเขาทีละนิดทีละน้อย รอตอนไหนที่เธอชดใช้พอแล้ว เธอก็สามารถไปตายได้ละ แต่ก่อนจะถึงจุดนี้ ชีวิตของเธอ เป็นของผม ผมอยากทำอะไรคุณก็จะทำแบบนั้น เธอเข้าใจใช่ไหม?”
ในที่สุดรอยยิ้มของเฉียวฉีก็หยุดนิ่งบนใบหน้าของเธอ
เธอมองไปที่กู้ซือเฉียน ใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่แข็งทื่อกลายเป็นคำพูดที่แทงคนเหมือนมีด พุ่งเข้าไปหาเขา
“เถ้าแก่กู้ คุณก็ให้ความสำคัญกับตัวเองเกินไปหรือเปล่า? คุณยังคงคิดว่า ฉันยังเป็นเฉียวฉีคนเดียวกันกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว ให้คุณทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ทำเอาตามอำเภอใจ คุณต้องการอย่างไรก็อย่างงั้นเหรอ?”
“แน่สิ! คุณคิดว่าไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
เธอยืดคอ ยืนตัวตรง และพยายามจ้องมองเขา แต่ชายคนนั้นสูงเกินไป ทำอย่างนี้ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์สิ้นดี
แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ ร่างที่ทรงอำนาจนั้น ก็เพียงพอที่จะสู้กับผู้ชายได้
เธอยิ้มมุมปาเบา ๆ แล้วพูดด้วยการเยาะเย้ย: “กู้ซือเฉียน เมื่อก่อนฉันคิดว่าคุณเป็นผู้ชายแท้ๆ จึงได้เดินตามคุณสุดหัวใจ แต่แล้วฉันก็พบว่าคุณไม่กล้าที่จะเผชิญกับความจริง เป็นคนขี้ขลาดที่ชอบหลอกลวงตัวเอง ผู้ชายอย่างคุณเหรอ อยากจะบังคับฉัน? นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าคุณปู่อยู่เหรอ?โลกทั้งใบเป็นของคุณ แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ? ” สีหน้าของชายผู้นั้นหม่นหมองลงทันที
ทันใดนั้นเขาก็เยาะเย้ย โน้มตัวเข้ามาใกล้เธอ ริมฝีปากบางๆ ของเขากดแนบหูเธอแล้วพูดว่า: “ผมเป็นผู้ชายจริงหรือเปล่า ค่ำคืนราตรีของเเมื่อสี่ปีที่แล้ว คุณรู้ดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไม? นี่ห่างกันไปแค่สี่ปีเอง ลืมแล้วหรอกเหรอ? คุณต้องการให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำนั้นอีกครั้งไหมล่ะ? “