ความเหน็บหนาวในตาของกู้ซือเฉียนมากขึ้นเรื่อยๆ
คำพูดที่พูดออกมายิ่งเย็นดั่งน้ำแข็ง “แกกำลังขู่ฉันอยู่เหรอ”
เฉียวฉีถอนหายใจอย่างจนใจ
ส่ายหัวไปมา เดินไปข้างๆ เขาพูดว่า: “แกเนี่ยนะ พูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันก็แค่วิเคราะห์ผลดีและผลเสียให้แกเอง ถ้าแกไม่อยากร่วมมือจริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะ ฉันได้ข่าวว่าล่าสุดตระกูลจื่อจินก็กำลังคิดอุบายกับแผนที่แผ่นนี้เหมือนกัน สำหรับสิ่งเหล่านั้น คิดว่าพวกเขาก็ต้องสนใจมากแน่เลย!”
“โอกาสที่วางไว้ข้างหน้าแกถ้าไม่เอา งั้นฉันก็ไปหาพวกเขาดีกว่า ยังไงตอนนั้นฉันกับSevenก็เคยเจอหน้ากันอยู่หลายครั้ง จะว่าไปแล้วฉันก็ชอบเธออยู่เหมือนกัน”
“ได้ข่าวว่าตอนนี้เธอเป็นคนของตระกูลจื่อจินใช่ไหม ดังคำกล่าวที่ว่าเรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน จะว่าไปแล้วพวกเราก็ถือว่าเป็นคนกันเอง อุ๊ย ดูสิแบบนี้ดีมากเลยใช่ไหมล่ะ”
“ก็ถือว่าสามารถคุยถึงเรื่องในอดีตกับเธอด้วย จะว่าไปแล้วไม่เจอกันตั้งหลายปี ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกันนะเนี่ย”
เธอยิ่งพูดต่อ สีหน้าของกู้ซือเฉียนก็ยิ่งเคร่งกว่าเดิม
จนสุดท้าย ตอนที่เธอหยุดลงมา สีหน้าเคร่งจนแทบจะมีน้ำไหลออกมาแล้ว
เขาพูดเสียดสีอย่างเหลาะแหละด้วยมุมปากดูหมิ่น: “ดูไม่ออกเลยว่าในสี่ปีนี้แกตัวอยู่ในคุก แต่หูไวจริงๆ”
เฉียวฉียกคิ้วขึ้น ยิ้มพูดว่า: “ตอนนี้บอสกู้เสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ยิงฉันให้ตายเลยใช่ไหม”
กู้ซือเฉียนยิ้มแห้งๆ “ก็เสียดายจริง”
“เฮ้อ เสียดายจัง ตอนนี้แกไม่มีโอกาสแล้ว”
เธอพูดอยู่ คนเดินไปอยู่ข้างหน้าเขา มองหน้าหล่อใบนั้นของเขาพูดว่า: “ฉันเคยพูดก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ตอนนั้นแกไม่ทำฉันตาย สักวันฉันจะกลับมาเอาคืนกับแกแน่นอน กู้ซือเฉียน วันหลังไม่ต้องพาฉันมาดูซากกระดูกศพพวกพี่น้องของแก ฉันรังเกียจ เพราะยังไงเลือดที่กลุ่มหงส์แดงเราไหลออกมาเหล่านั้น ก็ยังร้อนอยู่เหมือนกัน!”
เธอพูดจบ ดวงตาเยือกเย็นลงมาอย่างถี่ถ้วน
ยื่นขาออก กวาดรูปที่อยู่บนพื้นไปเรื่อย จนคลุมรูปทั้งหมดลงไป จากนั้นก็หันหลัง เดินออกไปข้างนอกอย่างเย็นชา
เสียงอันเย็นชาที่สุดของผู้หญิงดังมาจากไกลจนใกล้ มีความเลือดเย็นเล็กน้อยบวกกับเด็ดขาด
“กู้ซือเฉียน ถ้าอยากร่วมมือ ก็เอาความจริงใจของแกออกมา ภายในสามวัน ให้มาหาฉัน ถ้าสามวันผ่านไปยังไม่เห็นคน งั้นก็ไม่ต้องมาโทษฉันที่เอาของให้คนอื่น”
พูดจบคนก็หายไปแล้ว
กู้ซือเฉียนไม่ได้ไปตาม แค่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ดูด้านหลังที่จากไปนั้นอย่างเฉยเมย
ดูท่าทางมั่นใจและสง่าผ่าเผยของเธอ ไม่รู้เหมือนกันทำไมในใจไม่เพียงไม่มีความรู้สึกละอายใจและโกรธแค้นจากการโจมตีจนพ่ายแพ้ของอีกฝั่ง แต่กลับแอบเกิดความรู้สึกโชคดีเนื่องจากทรงพลังของเธอ
ในที่สุด เธอก็ได้เติบโตเป็นรูปร่างหน้าตาที่เธออยากเป็น
…
เมื่อกู้ซือเฉียนจะลงเขาก็หลังจากครึ่งชั่วโมงแล้ว
ฉินเยว่ที่เป็นทั้งคนขับรถและผู้ช่วยพอเห็นคนของเขาจากไกลๆ รีบกระโดดลงมาจากเบาะคนขับ เดินขึ้นไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว
“เจ้านาย”
เมื่อสังเกตเห็นด้านหลังของเขาไม่มีใครอยู่สักคน เขาออกมาด้วยตัวคนเดียวเอง สีหน้าก็เปลี่ยนทันทีเลย
“เจ้านาย คุณเฉียวเธอ…”
สีหน้าของกู้ซือเฉียนมืดมนราวกับลุ่มน้ำ ไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเขา แต่กลับเดินผ่านเขาโดยตรง ขึ้นไปบนรถ สั่งอย่างเย็นชา: “ขับรถ”
ฉินเยว่กลัวทันที รู้สึกได้ว่าขณะนี้เขาอารมณ์ไม่ดีมากๆ จึงไม่กล้าถามต่อ
รีบคลานขึ้นไปบนรถ สตาร์ทรถยนต์ ขับเข้าไปในเมือง
ส่วนอีกฝั่ง เฉียวฉีนั่งรถแท็กซี่กลับมา
เธอไม่อยากนั่งรถคันเดียวกันกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้วจริงๆ เธอรู้สึกว่าถ้าตัวเองยังอยู่กับเขาอีกกี่ชั่วโมง กลัวแค่จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ลงมือฆ่าเขาให้ตายเลยจริงๆ
พอนึกถึงตรงนี้ เธอยกมือขึ้นมาจับคอของตัวเองดู
ตรงคอยังมีความรู้สึกเจ็บปวดเหลืออยู่เล็กน้อย เธอควักมือถือออกมา ดูไปดูมา สังเกตเห็นว่าบนนั้นยังมีรอยแดงอ่อนๆ สองรอยอยู่
ในใจแอบกัดฟันอยู่
ด่าว่า: “ไอ้เหี้ย! ทำได้ลงคอจริงๆ”
แต่เขาลงมือทำกับเธอก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวสองครั้งแล้ว สี่ปีที่แล้ว ที่รุนแรงกว่านี้ไม่รู้มีกี่ครั้งแล้ว
ดังนั้นเธอก็ชินเหมือนกันแล้ว ตัวเองนวดนิดหน่อย จากนั้นก็วางมือถือลงไม่ไปสนใจแล้ว
รถยนต์ขับไปเรื่อยๆ จนถึงในเมือง รอกลับมาถึงหอของถังชีชีก็ตอนกลางคืนใกล้สองทุ่มแล้ว
ฤดูนี้ฟ้ามืดเร็ว เมื่อเวลาสองทุ่มฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
ในเมืองแสงไฟสว่างไสว เฉียวฉีลงรถตรงข้างล่างหอพัก พอล้วงกระเป๋าเสื้อถึงนึกขึ้นมาได้ตัวเองไม่มีเงินติดตัวไว้
ทันใดนั้นพะอืดพะอมสุดๆ
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ คนที่เขาเก่งแค่ไหน เมื่อไม่มีเงินติดตัว เงินหนึ่งอัฐก็สร้างความลำบากให้วีรบุรุษได้เหมือนกัน
เนื่องจากหมดหนทางแล้วจริงๆ เธอได้แต่ทำหนังหน้าให้หนา โทรหาถังชีชี ให้เธอนำเงินลงมาจ่ายค่ารถ
ตอนแรกคนขับเห็นเธอจับซ้ายหน่อย ควักขวาหน่อย แต่ก็ควักเงินออกมาไม่ได้สักที ยังนึกว่าเจอคนแปะเจี๊ยะ
แต่เห็นเธอหน้าตาสวย แต่งตัวก็สะอาดดี ไม่น่าจะใช่ บวกกับอีกฝั่งยังเป็นหญิงสาวอีกด้วย สงสัยจะหนังหน้าบาง จึงไม่ได้พูดอะไร
แต่ถึงแม้ปากไม่ได้พูด แต่ในใจก็ยังกังวลเหมือนกัน
จนได้ยินเธอโทรเรียกคนลงมาส่งเงิน นี่ถึงหายกังวลได้
ไม่นานถังชีชีก็ลงมาแล้ว ในมือถือแบงก์สีแดงสี่ห้าใบ
เอาเงินยื่นให้เธอ เมื่อเห็นเธอนำเงินยื่นให้คนขับ เนื้อที่อยู่บนหน้าเจ็บใจจนสั่น
ถามเฉียวฉีว่า: “พี่สาว นี่เธอไปไหนมาเหรอ ทำไมใช้ค่ารถเยอะขนาดนี้เนี่ย”
เฉียวฉีก็รู้สึกเกรงใจอยู่เล็กน้อย
เธอจับหัวอย่างพะอืดพะอม พูดว่า: “ขึ้นไปก่อนเถอะ กลับไปค่อยคุย”
ถังชีชีเห็นแล้วได้แต่พยักหน้าอย่างเดียว
สองคนขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน กลับไปที่ห้องนอน
เวลานี้รูมเมทสองคนของถังชีชีไปทำงานทั้งคู่แล้ว
ถังชีชีเพื่อที่จะอยู่เป็นเพื่อนกับเฉียวฉีวันนี้จึงตั้งใจลางานโดยเฉพาะ ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันหยุดจากการทำงานที่ปกติของเธออยู่แล้ว ดังนั้นเธอมีเวลาพักสองวัน
เมื่อกี้ที่เฉียวฉียังไม่กลับมาสักที เธอกำลังอยากจะโทรไปหา ถามเธอว่ามีเรื่องอะไรไหม จะกลับมากี่โมง
นึกไม่ถึงเลยว่าเธอก็โทรเข้ามาแล้ว พอโทรมาปุ๊บยังถามหาจะเอาเงินกับเธอ
ค่าจ้างเดือนหนึ่งของถังชีชีตอนนี้ก็แค่ประมาณสามพันเอง ครั้งนี้ ค่ารถหนึ่งครั้งของเฉียวฉีก็ใช้ไปสี่ห้าร้อยแล้ว เธอก็ต้องเจ็บใจอยู่แล้ว
แค่กังวลว่าเฉียวฉีจะคิดมาก ดังนั้นจึงพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ได้แสดงออกมา
แต่ถึงแม้เธอไม่ได้แสดงออกมา ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉียวฉีไม่รู้เรื่อง
เฉียวฉีเป็นคนฉลาดแค่ไหน
ต้องใช้ความฉลาดของตัวเองทำมาหากินตั้งแต่เล็ก การเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจผู้อื่นแทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณของเธอแล้ว
ดังนั้นเธอเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ของถังชีชีมากๆ
และก็เพราะเป็นแบบนี้เอง จึงหงุดหงิดโมโหกับความผิดพลาดของตัวเองในวันนี้มาก
แต่เธอรู้ดี ความลำบากทั้งหมดนี้เป็นแค่ชั่วคราว
ไม่นานเธอก็จะมีงานของตัวเองทำแล้ว ถึงตอนนั้นก็สามารถตอบแทนถังชีชีได้แล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ ความทุกข์ใจในใจของเธอก็เบาลงมานิดหน่อยแล้ว
ถังชีชีกลับไม่เข้าใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั่งลงมา มองเธอและถามอย่างกังวล: “พี่สาว ตกลงวันนี้เธอไปไหนมา”