ในอ้อมกอดของเขายังมีผู้หญิงอีกคนอยู่ เห็นแค่ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยหรู ตัวใส่กระโปรงยาวสีแสงไวน์ ตัวกระโปรงผ่าสูงถึงส่วนบนต้นขา แค่ขยับนิดเดียวก็เห็นวิวอันน่าดึงดูดแล้ว
ทั้งตัวของเธอคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของกู้ซือเฉียนเหมือนกับไม่มีกระดูกอย่างนั้น
รูปตัววีต่ำตรงหน้าอกเผยเส้นโค้งอันทำให้คนหลอดเลือดบวม เส้นเลือดโป่งพองออกมา อวบอิ่มจนแค่เป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง คงต้องทนไม่ไหวที่จะขึ้นไปบีบนวดสักหน่อย
ส่วนผู้ชายคือนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย มือหนึ่งโอบตรงเอวของเธออย่างเนือยๆ อีกมือหนึ่งเชยขมับของตัวเองไว้ พิงเอียงๆ อยู่ตรงนั้น ทั้งตัวหละหลวม
คนที่จู่ๆ ก็เข้ามา ทำลายบรรยากาศปรองดองของสองคนนี้ที่สำเริงสำราญอยู่
เขาหรี่ตาเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง ในตาดวงจิตยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับไม่มีความไม่สบายใจสักนิดเลยหลังจากถูกรบกวน
กลับเป็นผู้หญิงในอ้อมกอดเขาที่หลังจากเห็นเฉียวฉีแล้วกรีดร้องเสียงหนึ่ง เหมือนกับว่าจะตกใจ จนปิดกระโปรงยาวของตัวเองที่แทบจะเผยทั้งเอวออกมาในชั่วขณะ
“คุณเป็นใคร ทำไมอยู่ๆ ก็เข้ามาเฉย ไม่รู้เหรอว่าพวกเรากำลังทำธุระอยู่ข้างในอยู่”
ทำธุระ?
ทำธุระอะไร?
เรื่องความรักความชื่นชมระหว่างชายหญิงเหรอ
มุมปากของเฉียวฉีโค้งขึ้นมาอย่างเย็นชา
จริงๆ แล้วเธอไม่เคยคิดเลย ระหว่างกี่ปีนี้ที่ตัวเองไม่อยู่ ข้างๆ กู้ซือเฉียนจะไม่มีผู้หญิงคนอื่น
ก็เหมือนกับครึ่งปีนั้นที่เธอถูกกักขังไว้ ข้างตัวเขาก็เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง และสุดท้ายยังตายในมือของเธออย่างประหลาดมหัศจรรย์ จนกลายเป็นหลักฐานที่ทำให้เธอติดคุก
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ก็ตาม เฉียวฉีก็ยังคิดไม่ถึงเหมือนกันว่ามีวันหนึ่งตัวเองจะเห็นฉากนี้ด้วยตาตัวเอง
นี่มันคืออะไร
แสดงอำนาจ? หรือว่า…ยั่วยุ?
เฮ่อ! เธอแอบหัวเราะแห้งๆ ในใจ บนหน้าก็มีรอยยิ้มเสียดสีบวกกับเย็นชาขึ้นมา
“ถ้ประธานกู้กำลังยุ่งอยู่ อย่างนั้นฉันก็ไม่รบกวนแล้ว รอคุณว่างเมื่อไหร่เราค่อยคุยเถอะ”
พูดจบก็หันหลังจากไป
หลินเยว่เอ๋อร์อึ้งกะทันหัน
วินาทีต่อมา ก็ได้ยินผู้ชายข้างเปิดปากด้วยเสียงเหน็บหนาว “หยุด!”
ผู้หญิงอุปนิสัยเย็นชาดื้อรั้นหยุดก้าวเท้าต่อ ยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ได้หันหน้ากลับไป
พอหลินเยว่เอ๋อร์เห็น อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ร้องคำหนึ่งอย่างน้อยใจ “ซือเฉียน…”
เธอเพิ่งจะถูกอนุญาตให้มาอยู่ข้างเขาเมื่อคืนนี้อย่างกะทันหัน
หลินเยว่เอ๋อร์ก็ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไรเหมือนกัน
รู้แค่ว่าคืนนั้นเมื่อสามวันก่อน เธอเตรียมตัวหนึ่งวันเต็มๆ อยากจะใช้หน้าตาสวยและหุ่นของตนเองยั่วยวนเขา ถือว่าเป็นโอกาสสุดท้าย
แต่คิดไม่ถึงเลย ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ไม่ว่ายั่วยวนยังไงก็ยังเหมือนเดิม
ไม่ว่าเธอทำอะไร ในสายตาที่เขามองเธอ นอกจากเหน็บแนมแล้วไม่มีอย่างอื่นอีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความต้องการของผู้ชายคนหนึ่งที่ควรมี
ความเข้าใจจุดนี้ทำให้หลินเยว่เอ๋อร์รู้สึกพ่ายแพ้สุดๆ
เธอพึ่งจะรู้ สิ่งที่ตัวเองคิดไปเองว่าใช่ตั้งแต่แรก ความจริงแล้วคือสิ่งที่ไม่มีค่าพอให้คนอื่นเขาชายตามอง
แม้กระทั่งบางทีเธอยังสงสัยเลย กู้ซือเฉียนคนนี้เป็นผู้ชายจริงๆ หรือเปล่ากันแน่
เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ บนโลกใบนี้ยังมีผู้ชายคนไหนที่สามารถเห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้าโดยที่เปลือยล่อนจ้อนแล้วไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่รู้สึกหวั่นไหวสักนิดเลย
ยิ่งกว่านั้นยังทิ้งเธอออกมาเหมือนกับเห็นขยะอะไรอย่างนั้น
ใจเธอไม่ยอม แต่ก็ไม่มีวิถีทางอื่น
แต่ทว่า เมื่อหลินเยว่เอ๋อร์กำลังคิดว่าไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้ว
เมื่อคืนนี้ จู่ๆ กู้ซือเฉียนก็สั่งคนมาหาเธอ บอกว่าอนุญาตให้เธอไปตึกหลัก และยังให้เธอคอยปรนนิบัติอยู่ข้างตัว
หลินเยว่เอ๋อร์อึ้งสุดๆ
มีความรู้สึกอย่างหนึ่งแบบอยู่ๆ ก็มีขนมตกลงมาจากฟ้า
เธอไม่กล้ารอช้าแม้แต่วินาทีเดียว รีบไปอย่างเร่งด่วนเลย
ดังนั้นจึงมีฉากแบบนี้เกิดขึ้นในวันนี้
หลินเยว่เอ๋อร์ก็เป็นคนที่รู้สถานการณ์รู้จักกาลเทศะ และยังมีความหัวใสอยู่เล็กน้อยด้วย
ตอนแรกเธอยังไม่แน่ใจ เหตุผลที่อยู่ๆ กู้ซือเฉียนอนุญาติให้เธออยู่ต่อ ได้แต่ค่อยๆ หยั่งเข้าใกล้ทีละก้าว
ยังดีที่อยู่ต่อหน้าการเอาใจอย่างจงใจของเธอ กู้ซือเฉียนไม่ได้แสดงอารมณ์รังเกียจเหมือนคราวก่อนๆ แบบนั้น
เพราะฉะนั้น วันนี้หลินเยว่เอ๋อร์จึงสามารถคลอเคลียในอ้อมแขนของเขาอย่างใจกล้าแบบนี้ และยังกล้าเรียกชื่อของเขาตรงๆ
เห็นกู้ซือเฉียนไม่พูดไม่จาสักที ในใจหลินเยว่เอ๋อร์อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกวิกฤติลอยขึ้นมาทันที
รอยยิ้มบนหน้าก็กลายเป็นมีความอิดออดขึ้นมาเล็กน้อย พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า: “ซือเฉียน เมื่อกี้คุณบอกว่าอยากนอนกลางวันไม่ใช่เหรอ ให้ฉันพยุงคุณขึ้นไปพักข้างบนเถอะนะ”
กู้ซือเฉียนหันหน้ามองหน้าของเธอ ดวงตาหรี่ลงมาเล็กน้อย
“เหนื่อยแล้วเหรอ”
เสียงที่ออกมาจากปาก เป็นความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างคาดไม่ถึง
หลินเยว่เอ๋อร์อึ้งครู่หนึ่ง
ไม่นานก็กลับมารู้สึกตัว ยิ้มออกมาแบบได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ รีบส่ายหัวทันที “ฉันไม่เหนื่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่นั่งเป็นเพื่อนกับผมอีกสักครู่”
โทนเสียงของผู้ชายทุ้มต่ำ มีคุณสมบัติน่าดึงดูดอย่างเซ็กซี่ที่อธิบายไม่ถูกอย่างหนึ่ง
พูดอยู่ นิ้วมือยังลูบไล้ผิวพรรณตรงเอวของเธอเบาๆ ทั้งท่าทางและน้ำเสียงของสองคนคลุมเครือสุดๆ
แค่แป๊บเดียวหลินเยว่เอ๋อร์ก็ทนไม่ไหวแล้ว
เสียงนั้นลอยเข้ามาในหู ปนกับกลิ่นหอมเฉพาะบนตัวผู้ชาย รู้สึกแค่ว่าเหมือนกับเหล้าฝิ่นที่บ่มด้วยระยะเวลาที่เนิ่นนานแก้วหนึ่ง ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงหูร้อน
ทันใดนั้นตัวเธอก็อ่อนลงมา
คลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างกับกระดูกทั้งตัวอ่อนหมดแล้ว พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
กู้ซือเฉียนจึงจะเก็บสายตากลับมา จ้องมองไปที่ด้านหลังของคนนั้นที่หันหลังให้เขาอยู่อีกครั้ง
เหมือนเขาไม่อยากพูดกับเธอมากแม้แต่คำพูดไร้สาระประโยคเดียว พูดตรงๆ อย่างเยือกเย็นว่า: “เรื่องที่คุณเสนอเมื่อคราวก่อน ผมตกลงแล้ว แต่คุณต้องเข้าใจ นี่เป็นแค่ชั่วคราว ถึงแม้คุณจะช่วยผมหาที่ตรงนั้นเจอ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงคุณชดเชยบาปกรรมที่คุณทำไว้ก่อนหน้านี้ให้หมดสิ้นแล้ว”
เฉียวฉียืนอยู่ตรงนั้น หัวเราะอย่างเยือกเย็น
ความเสียดสีค่อยๆ ลุกลามขึ้นมาจากในใจของเธอ ลุกลามมาจนถึงมุมปาก
เธอหัวเราะแห้งๆ ว่า: “บอสกู้ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง อยากได้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยคิดเลย ตัวเองมีปัญญาได้มาหรือเปล่า คุณอยากให้ฉันชดเชยบาปกรรมที่ทำไว้ในตอนนั้น ฉันยังอยากเอาชีวิตคนทั้งสิบแปดชีวิตของกลุ่มหงส์แดงที่ตายในมือของคุณตอนนั้นด้วยเลย!”
กู้ซือเฉียนไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว พูดอย่างเย็นชาว่า: “ผมรอคุณมาเอา”
“ถ้าเช่นนั้นก็คำไหนคำนั้น!”
เธอพูดจบก็ก้าวยาวจากไปโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่หันหน้ากลับไปดูเขาอีกสักแวบหนึ่ง
ผู้ชายข้างหลังมองดูด้านหลังที่จากไปของเธอ ดวงตาลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ
ในที่สุด หน้าหล่อเหลาใบนั้นก็มืดมนลงไปถึงที่สุดภายในความโกรธแค้น
หลินเยว่เอ๋อร์ไม่เคยรู้ความพัวพันระหว่างสองคนนี้ แค่อาศัยสัญชาตญาณของผู้หญิง รู้สึกความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้น ในใจแอบระแวดระวังขึ้นมาอัตโนมัติ
เห็นเฉียวฉีจากไปแล้ว เธอเพิ่งจะถามอย่างสงสัย: “ซือเฉียน เธอเป็นใครเหรอ พวกคุณ…”
น้ำเสียงของเธอสงสัย ในสายตาก็เป็นสีสันอยากรู้อยากเห็นโดยที่ไม่ปิดบังเลย
กู้ซือเฉียนหันหลังกลับ มองเธออย่างเย็นชา
ในตาไม่มีสีสันพัวพันอ้อยอิ่งที่แสดงออกมาต่อเธออย่างเมื่อกี้ที่เฉียวฉียังอยู่อีกแล้ว
ที่เหลือลงมามีแต่น้ำค้างแข็งหมื่นลี้ ปิดตาของเขาอย่างกับน้ำแข็งผนึกไว้อย่างนั้น และปิดใจของเขาไว้ด้วย
เขาพูดเสียงต่ำ: “คุณเรียกผมว่าอะไร”