เสี่ยวหงอึ้งอยู่กับที่ ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับก็ตาม แต่ไม่พูดไม่ได้เลย คุณชายใหญ่กับคุณชายสองสู้กู้ซือเฉียนไม่ได้จริงๆ
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดถึงพูดความจริง “ไม่ ไม่ได้”
คุณนายกู้หัวเราะอย่างไม่สนใจไยดี
เหมือนจะอุทาน ถอนหายใจคำเดียวบอกว่า: “ใช่สิ พวกแกไม่ใช่คู่แข่งของเขา ฉางไห่ก็แก่แล้ว ยุทธภพอันใหญ่โตของตระกูลกู้นี้ สุดท้ายจะตกเป็นของใครแทบจะมองดูครั้งเดียวก็เข้าใจหมด แกว่าฉันเป็นแม่เลี้ยงของเขา ตอนเด็กไม่เคยเลี้ยงเขา และไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับเขา จิตความรักใคร่อันน้อยนิดที่เขามีต่อฉัน สงสัยยังเทียบคนใช้แล้วแต่ใครสักคนไม่ได้เลย”
“สำหรับสถานการณ์แบบนี้ แกว่าถ้ารอฉางไห่แก่ไปแล้ว ไม่อยู่แล้วจริงๆ เราสามแม่ลูกจะใช้ชีวิตกันยังไงอ่ะ”
เสี่ยวหงทึ่งสุดๆ
เธอเห็นแค่ข้างหน้าอย่างเดียว ไม่พอใจกับท่าทีของกู้ซือเฉียนที่มีต่อเธอ
กลับไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ
คุณนายกู้ส่ายหัว และยังถอนหายใจคำหนึ่ง
“แกนึกว่าฉันชอบไปอาณาบริเวณของคู่แข่งความรักของตัวเอง ดูของที่เธอเหลือไว้ ใส่ใจลูกชายที่เธอเหลือไว้ เหยียบทะนงตน ศักดิ์ศรีกับหน้าตัวเองลงพื้นจริงๆ เลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้ชอบ แต่ฉันไม่ทำไม่ได้ ชีวิตของตระกูลกู้ในตอนนี้มันลำบาก แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีลูกหลานคนหนึ่งที่ใช้ได้ออกมา”
“ถ้าขนาดเขาก็ไม่อยู่แล้ว ตระกูลกู้ถือว่าจบจริงๆ แล้ว ถ้าตระกูลกู้จบ พวกเราก็จบแล้วเหมือนกัน ที่เรียกกันว่าหนึ่งล่วงทุกคนล่มหนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่งก็คือแบบนี้”
เธอพูดอยู่ ดวงตาลึกซึ้ง พูดเสียงต่ำว่า: “และยังบวกกับกู้ซือเฉียนเป็นคนที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ แม้ว่าพวกเราไม่ได้ให้บุญคุณอะไรกับเขาก็ตาม แค่มีจิตความรักใคร่ภายนอก ถ้าถึงเวลาที่จะแย่งมรดกจริงๆ ถึงแม้เห็นแค่หน้าที่เหลือไว้อันน้อยนิดนี้ เขาก็ไม่โหดร้ายกับเราสามคนแม่ลูกมากเกินไป แกเข้าใจหรือยัง”
เสี่ยวหงอึ้งมาก
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ สิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจจะเป็นเรื่องเหล่านี้
เธอก้มหน้าลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ เหมือนจะกลัว และไม่ค่อยพอใจ
พูดต่ำๆ ประโยคหนึ่ง “คุณชายใหญ่กับคุณชายสองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ท่านจะลำบากตัวเองไปทำไม…”
แม้ว่าเสียงของเธอจะต่ำมาก แต่คุณนายกู้ก็ได้ยินไม่ขาดสักคำแล้ว
เธอยกคิ้ว ถามว่า: “รู้สึกไม่เป็นธรรมจริงๆ เหรอ”
ฮ่า! จะรู้สึกไม่เป็นธรรมได้อย่างไรล่ะ
ถ้าวันหลังลูกชายสองคนของเธอมีโอกาสได้สิทธิการเป็นผู้รับมรดกในอนาคตของตระกูลกู้จริงๆ แบบนั้นเธอก็ไม่กังวลสักเรื่องอยู่แล้ว แค่ถ้าไม่ได้ ก็สามารถใช้ความเอาอกเอาใจในตอนนี้ ปูทางเผื่ออนาคตไว้ให้ดี
ก็แค่ได้ทั้งปลาและอุ้งตีนหมี ทำประกันสองเท่าเพื่อตัวเองแค่นั้นเอง ไม่ถือว่าไม่เป็นธรรมหรอก
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คิดจะพูดคำพูดเหล่านี้ให้เสี่ยวหงฟัง
ก็แค่คนรับใช้คนหนึ่ง ไม่รู้จักมองให้ไกล เห็นแค่ประโยชน์อันน้อยนิดที่อยู่ข้างหน้ามาตลอด เพราะฉะนั้นแล้ว บอกให้เธอมากก็ไร้ประโยชน์เหมือนกัน
คุณนายกู้ส่ายหัว ไม่พูดต่อ
และในขณะนี้ กลับมีเสียงเครื่องมอเตอร์ของรถยนต์ดังมาจากข้างนอก
เธอแอบตกใจเล็กน้อย ถามว่า: “ใครขับรถกลับมาเหรอ”
เสี่ยวหงก็ตกใจเหมือนกัน พูดว่า: “ไม่รู้สิ คุณชายอยู่ในห้องนอน ไม่ได้ออกไปไหนเลยนิ”
อึ้งสักพัก พูดต่อว่า: “สงสัยจะเป็นลุงโอกระมัง คนที่สามารถขับรถเข้าออกภายในปราสาท มีแค่พวกเขาสองคนเอง ”
คุณนายกู้กลับส่ายหัว
“ไม่ใช่สิ เมื่อกี้ลุงโอเสิร์ฟอาหารเย็นให้เราเสร็จ ก็ไปสวนดอกไม้ข้างหลังแล้ว ฉันเห็นเขาไปด้วยตาของตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเขา”
เธอชะงัก สั่งลงไปว่า: “เสี่ยวหง แกออกไปดูสิว่าเป็นใคร”
เสี่ยวหงพยักหน้า รีบออกมาอย่างรวดเร็ว
เร็วมาก ไม่ถึงหนึ่งนาทีเธอก็รีบวิ่งเข้ามาแล้ว
สีหน้าดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เธอวิ่งไปถึงข้างๆ คุณนายกู้ พูดเบาๆ ตรงข้างหูว่า: “คุณนาย คือหญิงสาวคนหนึ่ง”
คุณนายกู้ชะงัก
ผู้หญิง?
กู้ซือเฉียนมีผู้หญิงแล้วเหรอ
ใจเธอตื่นเต้นมาก การที่ได้รับรู้เรื่องนี้ทำให้ใจที่ผ่อนคลายมากในตอนแรกของเธออยู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา
เธออยากเอาอกเอาใจกู้ซือเฉียนก็จริง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายถึงเธอยอมนั่งรอดูกู้ซือเฉียนแต่งงานมีลูก
เพราะยังไงแล้ว ลูกชายสองคนของเธอ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีลูกสักคนเลย
ที่ของหลานคนโตแห่งตระกูลกู้นี้ จะปล่อยให้คนอื่นนั่งไม่ได้เด็ดขาด
พอคิดอยู่แบบนี้ เธอรีบลุกขึ้นทันที
บอกว่า: “ไปดูสิว่าเป็นใคร”
พูดอยู่ ก็เดินนำไปข้างนอกคนแรกเลย
เสี่ยวหงเห็นท่าแล้วก็รีบตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ข้างนอก เฉียวฉีกลับมาจากข้างนอกพอดีอยู่
วันนี้เธอออกไปทำธุระ เพราะลุงโอเคยบอกว่าเธอสามารถใช้รถยนต์ในปราสาทตามใจชอบ ฉะนั้นเธอก็ได้ขับรถยนต์ในปราสาทออกไป
จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทำธุระที่พิเศษอะไร ก็แค่นำบัตรธนาคารที่มีเงินหนึ่งแสนหยวนที่ลุงโอเอาให้เธอคราวก่อนใบนั้นไปให้ถังชีชีแค่นั้นเอง
เธอรู้ว่าตอนนี้ถังชีชีไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในไนต์คลับ เงินเดือนของหนึ่งเดือนต่ำมาก เหนื่อยไม่พอ ที่สำคัญคืออันตรายมาก
ถังชีชีกับเธอไม่เหมือนกัน เธอเป็นคนประเภทไม่ว่าเรื่องมันยากลำบากแค่ไหน ถึงตายก็กล้าทำต่ออย่างนั้น
คนอื่นอยากจะเอาเปรียบเธอ กลัวแค่ยังไม่ทันได้เอาเปรียบ ก็โดนเธอขายออกไปก่อนแล้ว
แต่ถังชีชีไม่เหมือนกัน
ถังชีชีเป็นเด็กผู้หญิงที่เชื่อฟังและใสซื่อมากแบบนั้น เธอไม่อยากให้เธอเดินผิดทาง และไม่อยากให้เธอถูกทำร้ายด้วย แต่เธอเองไม่สามารถคอยปกป้อง คอยติดตามอยู่ข้างหล่อนตลอดเวลา ดังนั้นมีแค่วิธีเดียว ก็คือรีบหางานใหม่ให้เธอออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นหางานใหม่ หรือว่าออกจากวิธีการใช้ชีวิตแบบนั้น ทั้งหมดนี้ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถทำได้
ดังนั้น เฉียวฉีจึงขอเงินหนึ่งแสนหยวนจากลุงโอเอาไปให้เธอ เพียงเพราะเธอจำได้ว่าถังชีชีเคยบอกก่อนหน้านี้ว่าอยากมีร้านเสื้อผ้าของตัวเองร้านหนึ่ง
แม้ว่าเงินหนึ่งแสนหยวนไม่ถือว่าเยอะ แต่สำหรับทุนเริ่มต้นที่จะเปิดร้านเล็กๆ หนึ่งร้านก็พออยู่
ร้านแถวนี้ไม่ถือว่าแพงมาก นำเงินหนึ่งแสนหยวนจ่ายค่าเช่าและค่ามัดจำแล้ว ยังพอซื้อสินค้าเข้าได้เยอะมาก
ส่วนเส้นทางด้านหลัง ก็ต้องพึ่งถังชีชีเดินด้วยตนเองแล้ว
เธอแค่อยากดึงเธอทีหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดจะประคองเธอไว้เดินไปข้างหน้า ชีวิตของตัวเอง สุดท้ายแล้วก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองอยู่ดี
เพราะฉะนั้น เฉียวฉีแค่เอาเงินให้เธอ อธิบายจุดประสงค์ให้เธอรู้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว
ตอนแรกที่ถังชีชีเพิ่งได้รับรู้ยังไม่ยอมรับเงินก้อนนี้เลย
เพราะยังไงเธอก็รู้สถานการณ์ของเฉียวฉีในตอนนี้เหมือนกัน หนึ่งแสนหยวน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ สำหรับเธอมันเยอะเกินไปแล้ว เธอไม่มีทางรับ
แต่เฉียวฉีกลับบอกว่า ทั้งนี้ถือเป็นว่ายืมให้หล่อน ถ้าอนาคตมีรายได้แล้วค่อยคืนให้เธอก็ได้
ถังชีชีฟังจบแล้วจึงจำใจรับมา
หลังจากที่ได้รับ เลี่ยงไม่ได้ที่จะถามเธอสักหน่อยว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน และตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่ไหนอะไรพวกนี้ต่างๆ
เฉียวฉีมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว
บอกเธอแค่ว่าตอนนี้อาศัยอยู่กับเพื่อน และก็ทำงานช่วยเพื่อนด้วย ส่วนเรื่องเงินคือเธอรับเงินเดือนของตัวเองมาร่วงหน้า เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องเป็นห่วงเลย