สุดท้ายเขาก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า: “ก็ได้ แต่ในฐานะเพื่อน ผมไม่อยากเห็นใครได้รับบาดเจ็บ เมื่อสี่ปีก่อน ผมยืนอยู่ข้างเขาก็เพราะว่าสถานการณ์บังคับ ไม่ใช่เพราะคิดไม่ดีกับคุณ อาเฉียว ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจ”
เฉียวฉีไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงนิ่งเงียบแต่สายตากลับลึกลับซับซ้อน วอกแวกอยู่เล็กน้อย
เธอตอบกลับมาเบาๆ:“มันผ่านไปแล้ว”
ใช่ มันผ่านไปแล้ว!
บาดแผลที่เธอเคยได้รับ เธอสามารถทำเป็นไม่สนใจได้ ความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับ เธอก็สามารถลืมมันไปได้ คนที่เคยหักหลังเธอ เธอก็สามารถให้อภัยได้
แต่มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอไม่สนใจไม่ได้ ลืมไม่ได้ อภัยไม่ได้
นั่นก็คือพี่น้องที่ตายไปเพราะเธอ
ทั้งๆที่พวกเขารู้ความสัมพันธ์ของเธอกับกู้ซือเฉียน แต่พวกเขาก็ยังยอมที่จะเชื่อเธอ เชื่อในคำมั่นสัญญาของเธอ และเชื่อว่าเธอจะไม่มีทางทรยศต่อองค์กร
พวกเขามอบความจริงใจให้กับเธอ คิดว่าไม่บริสุทธิ์ก็คือไม่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ก็คือบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเธอจะโตมากับกู้ซือเฉียน แต่จุดยืนก็คือจุดยืน เธอไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่ทำลายผลประโยชน์ของทุกคนเพราะเรื่องส่วนตัว
แต่สุดท้ายล่ะ? พวกเขาได้รับอะไร?
มันคือการทรยศ คือการสังหารทำลายล้างมนุษยชาติ คือความเจ็บปวดและความเสียใจที่หลั่งไหลออกมาด้วยเลือด
เฉียวฉีเคยนอนอยู่บนเตียงเหล็กเล็กๆในคุกอยู่หลายคืน มองดูท้องฟ้าที่มืดมิดบนหัว เธอก็แอบคิดอยู่ในใจ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะเลือกยังไง?
เธอคงไม่มีทางเลือกคบกับกู้ซือเฉียน และก็ไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อว่า ในช่วงเวลาวิกฤตที่สุดตอนนั้น ยังคงเชื่อว่าเขาจะทำได้ เธอจะแยกแยะเรื่องส่วนตัว ไม่มีทางใช้ความรู้สึกของคนสองเป็นเครื่องมือ และไม่มีทางใช้ความรู้สึกของเธอ
เธอไร้เดียงสาเกินไป!
ไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ!
เขาทำแบบนั้น ค่อยๆใช้ความไว้วางใจและความรู้สึกของเธอทีมีต่อเขา เข้าไปใกล้ชิดกับสมาชิกหลักของกลุ่มหงส์แดงใช้ความไว้วางใจที่กลุ่มหงส์แดงมีต่อเธอ ปล่อยข่าวเท็จออกไป สุดท้ายก็กำจัดพวกเขาทั้งหมดอย่างง่ายดาย กำจัดไปไม่เหลือแม้แต่น้อย
ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน!
หัวใจที่โหดเหี้ยมแบบนี้ ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเธอไปด้วยตั้งแต่แรก?
เฉียวฉีคิดแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอก็ไม่มีคำตอบ
ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่มีทางหาคำตอบเจอ
ในขณะที่เธอกำลังเหม่อลอย ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา เธอตกใจและกลับมามีสติอีกครั้ง เห็นหลินเยว่เอ๋อร์กอดแขนของกู้ซือเฉียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่พอใจ
“กู้ซือเฉียน คุณดูสิ เธอตบฉัน หน้าฉันยังบวมอยู่เลย ฉันแค่อยากจะเทน้ำให้เธอ แต่เธอกลับตบฉัน บนโลกใบนี้ทำไมถึงได้มีคนไม่มีเหตุผลแบบนี้?”
เธอกอดแขนของกู้ซือเฉียน เงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยสีหน้าที่น้อยใจ
สีหน้าของกู้ซือเฉียนซีดเซียว ดูไม่ออกว่าเขาโกรธเคืองรึเปล่า แต่สายตาที่เขามองไปที่เฉียวฉี ช่างดูชั่วร้ายและเย็นชา
“หืม? คุณบอกว่าเธอตบคุณ?”
“ใช่”
“งั้นคุณก็ตบคืนสิ มาหาผมทำไม?”
เขาพูดประโยคนี้ออกมา หลินเยว่เอ๋อร์ก็หยุดนิ่งทันที
หลินซงกระแอมทีหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะอธิบายว่า:“ซือเฉียน จะโทษอาเฉียนไม่ได้ เมื่อกี้เธอเป็นคนสาดน้ำใส่อาเฉียนก่อน อาเฉียนถึงได้เอาคืน”
“อาเฉียน?”
กู้ซือเฉียนกัดฟันพูดสองคำนี้ออกมา เขาหรี่ตาลงและหันไปมองหลินซง
หลินซงตกใจ
เขาได้รับสัญญาณอันตรายมาจากสายตาของเขา เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวแล้วหันหน้าออกไปมองที่อื่น แกล้งทำเป็นว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไร
กู้ซือเฉียนถึงได้เลิกมองเขา
เฉียวฉีเห็นภาพทุกอย่าง หัวใจของเธอรู้สึกเย็นชาขึ้นมา แต่กลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา
เธอถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ฉันตบเอง แล้วคุณจะทำไม?”
กู้ซือเฉียนมองไปที่เธอและยิ้มอ่อน
ในสายตาเต็มไปด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย
“เรื่องระหว่างผู้หญิง ผมไม่เคยเข้าไปแทรกแซง แต่ว่าตอนนี้เยว่เอ๋อร์เป็นผู้หญิงของผม เธอน้อยใจขนาดนี้ ในเมื่อมาหาผม จะให้ผมไม่สนใจได้ยังไง คุณเฉียว คุณขอโทษเธอเถอะ แค่ประโยคเดียว คุณไม่ได้สูญเสียอะไร”
บรรยากาศเงียบลงทันที
หลินเยว่เอ๋อร์เลิกคิ้วและมองไปที่เธอ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
หลินซงถอนหายใจในใจเบาๆ เขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาก้าวขาเดินออกไป
เฉียวฉียังคงสงนิ่งเงียบ
สายตาที่ลึกซึ้ง แต่กลับมีความเย็นชารวมตัวกันอยู่ข้างใน
“ถ้าฉันไม่ขอโทษล่ะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์หัวเราะแห้งทีหนึ่ง “งั้นก็จะไล่เธอออกไปจากปราสาท! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ไม่รับอนุญาตให้กลับมา!”
พึ่งจะพูดเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาบนหัวมองลงมาที่ตัวเอง
เธอเงยหน้าขึ้นไป มองเห็นสายตาที่เย็นชาของกู้ซือเฉียน แผ่นหลังของเธอรู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมา เธอรีบก้มหน้าลง หุบปากไม่กล้าพูดอะไรอีก
กู้ซือเฉียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่เฉียวฉี
เขาทำเสียงต่ำ แต่กลับมีกลิ่นอายของความเย่อหยิ่ง:“เธอไม่มีสิทธิ์ไล่คุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ลงไม้ลงมือกับเธอ เฉียวฉี ขอโทษ!”
เฉียวฉีหัวเราะแห้งออกมา
น่าจะนานแล้วที่ไม่ได้ลงไม้ลงมือกับใคร ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคันไม้คันมือ นิ้วก็รู้สึกตึงๆ
เธอถามว่า:“กู้ซือเฉียน คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจะออกหน้าแทนเธอ?”
กู้ซือเฉียนไม่พูดไม่จา
แต่ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด
เฉียวฉีพยักหน้า ความเย็นชามารวมตัวกันในหัวใจของเธอ บอกไม่ได้ว่าผิดหวังหรือว่าเสียใจ เพียงแค่รู้สึกว่าแม้แต่เปลวไฟที่เล็กที่สุดในหัวใจก็กำลังจะดับลง
เธอถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวแล้วพูดอย่างเย็นชา: “ฉันไม่ขอโทษ ถ้าคุณพอใจ ก็ออกมา ออกมาต่อยกันสักรอบ! แก้ปัญหาแบบลูกผู้ชาย เป็นไง?”
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว
เฉียวฉีเริ่มหมุนข้อมือข้อเท้า
หลินเยว่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะใหญ่ถึงจุดนี้ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอคนนี้ยังเป็นผู้หญิงอยู่ไหม?
คิดไม่ถึงว่าจะท้าต่อยกับผู้ชาย?
เธอมีความรู้ที่ผู้หญิงควรมีอยู่รึป่าว?
แต่ว่าตอนนี้เธอก็ไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปมองกู้ซือเฉียนด้วยความคาดหวัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆกู้ซือเฉียนก็ยิ้มขึ้นมา
เสียงหัวเราะของเขามีกลิ่นอายของความเยาะเย้ยและถากถาง
เขาบอกว่า:“เฉียวฉี คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม”
สี่ปีก่อนไม่ใช่ สี่ปีต่อมาก็ไม่ใช่
เฉียวฉีหรี่ตาลง ดวงตาที่เล็กลงมีรอยยิ้มแอบแฝงอยู่เล็กน้อย แต่มองดูแล้วกลับทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นชา
“ไม่ลองจะรู้ได้ยังไง”
กู้ซือเฉียนเห็นแบบนี้ เขาก็เงียบไปสองวินาที จากนั้นก็เดินออกไปข้างหน้า
หลินเยว่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าเขาจะรับปากจริงๆ ในใจของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและชอบอกชอบใจ แต่บนใบหน้ากลับมีร่องรอยของความเขินอาย เธอเอื้อมมือออกไปจับแขนของเขาเอาไว้
“ซือเฉียน อย่าเลย……ช่างเถอะ”
เธอกัดริมฝีปากและก้มหน้าลง จากนั้นก็มองขึ้นไปที่เฉียวฉีที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วพูดว่า:“ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง ตบฉันทีหนึ่งฉันยอมรับได้ เธอไม่ยอมขอโทษฉันก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ถ้าคุณลงไม้ลงมือกับเธอ เดี๋ยวคุณจะถูกคนอื่นว่าไม่ให้เกียรติผู้หญิงเอาได้ มันไม่ค่อยคุ้มเลย!”
กู้ซือเฉียนเหลือบมองมาที่เธอ