รอยยิ้มที่มีกลิ่นอายของความเยาะเย้ย:“คุณช่างคิดถึงผมเสียจริง”
หลินเยว่เอ๋อร์ไม่เห็นท่าทางของเขา เธอก้มหน้าลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ฉันชอบคุณ ก็ต้องคิดถึงคุณอยู่แล้ว”
กู้ซือเฉียนกลับรู้สึกอยากจะอ้วกและหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล เขามองไปที่เธออีกครั้ง ก้าวขาเดินออกไปข้างหน้า
เห็นว่าเขาเดินเข้าไป หลินเยว่เอ๋อร์ก็ตกใจ หลังจากตกใจความสุขที่บรรยายไม่ได้ก็เกิดขึ้น เธอก็รีบเดินตามเข้าไป
พวกเขาเดินกลับไปที่สนามหญ้าอีกครั้ง
เฉียวฉีที่หมุดข้อมือข้อเท้าอยู่ตลอด เธอพูดกับหลินซงที่เดินตามมาไกลๆว่า:“คุณชายหลิน คุณยืนห่างๆหน่อย ฉันกลัวท่าของฉันจะใหญ่เกินไป คุณจะโดนลูกหลงเอาได้”
หลินซงมองดูพวกเขาสองคนที่กำลังจะลงไม้ลงมือกันอย่างไม่มีเหตุผล เขาก็มีสีหน้าลำบากใจและหมดหนทาง
แต่เขาก็ถอนหายใจและออกไปยืนอยู่ข้างๆ
กู้ซือเฉียนเดินมาอยู่ข้างหน้าเธออย่างใจเย็น
ดูเหมือนจะเตือนด้วยความหวังดี:“เฉียวฉี กังฟูของคุณผมเป็นคนสอนเกือบทั้งหมด บวกกับกำลังของผู้หญิงที่ไม่เท่าผู้ชาย คุณคิดว่าคุณจะเอาชนะผมได้จริงเหรอ?”
เฉียวฉียิ้มแห้ง
มองเข้าไปในตาของเขาอย่างเย็นชาและพูดว่า:“ชนะหรือไม่ชนะ ลองดูถึงจะรู้!”
พูดเสร็จ เธอก็พุ่งเข้าไปเหมือนลมกระโชก
นี่เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
ทั้งสองคนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของฝีมือ ทักษะหรือปฏิกิริยา ล้วนแต่ถือว่าพอๆกัน แต่กู้ซือเฉียนมีความได้เปรียบในเรื่องของกำลังผู้ชาย เหมือนอย่างที่เขาพูด เขามีพละกำลังมากกว่า แต่เฉียวฉีก็ไม่ธรรมดา
ในช่วงสี่ปีที่อยู่ในคุก เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอได้รู้จักกับปรมาจารย์ยูโดคนหนึ่ง ฝึกฝนทุกวัน สี่ปีผ่านไป เธอก็พอจะมีความสามารถทางด้านยูโดอยู่บ้างเล็กน้อย
เพราะแบบนี้ พละกำลังของกู้ซือเฉียน จึงถูกเธอใช้ความนุ่มนวลและความยืดหยุ่นของร่างกายผู้หญิงลบล้างได้อย่างง่ายดาย ผ่านไปสี่ห้าสิบท่า แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าใครคือผู้ชนะ และการต่อสู้ก็ดูเหมือนจะดุเดือนขึ้นเรื่อยๆ
หลินซงยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ดูลีลาการของทั้งสองคน รู้สึกได้เลยว่าสองคนนี้บ้าไปแล้วจริงๆ!
หลินเยว่เอ๋อร์ก็รู้สึกกังวล แต่ไม่ได้กังวลว่าเขาสองคนจะได้รับบาดเจ็บ เธอกังวลว่ากู้ซือเฉียนจะแพ้ ถึงตอนนั้นเขาก็คงจะเสียหน้าและโทษเธอ
เพราะว่าเขาต่อสู้กับผู้หญิงคนนี้เพราะเธอ!
คิดแบบนี้ หัวใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวานและพอใจ
รู้สึกแค่ว่าผู้ชายที่เก่งและเย่อหยิ่งอย่างกู้ซือเฉียน ยอมต่อยกับคนอื่นเพราะตัวเอง เห็นได้ว่าเธอยังคงมีเสน่ห์ การปฏิเสธของเขาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ก็เป็นแค่ปัญหาของนิสัย ในใจของเขายังมีเธออยู่ เขาจะค่อยๆตกหลุมรักเธอแน่นอน
ความกังวลของหลินเยว่เอ๋อร์ยังไม่ทันหายไป จู่ๆก็ได้ยินเสียง“ปัง”
ขาของกู้ซือเฉียนกวาดไปที่ขาของเฉียวฉี ทำให้เฉียวฉีล้มลงกับพื้น
เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปว่า:“ดีมาก! ซือเฉียน คุณเก่งที่สุด!”
หลินซงหันหน้าไปเบิกตาใส่เธอ
และหลังจากนั้น ยังไม่ทันได้ดีใจ จู่ๆก็เห็นเฉียวฉีที่ล้มลงกับพื้นราวกับว่าไม่มีกระดูก พันขาของกู้ซือเฉียนไว้ทันที จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมา พวกเขาเห็นไม่ชัด วินาทีต่อมา ก็เห็นว่าไม่รู้ว่าเธอขึ้นไปขี่บนไหล่เขาได้ยังไง
หลินซงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาตระโกนออกมาในใจ หล่อมาก!
มือทั้งสองข้างของเฉียวฉีจับที่คอของกู้ซือเฉียน เธอหอบเล็กน้อยและถามอย่างเยาะเย้ย:“กู้ซือเฉียน ยังไง?ยอมแพ้ไหม?”
แรงของมือเธอไม่ใช่เบาๆ เธอจับตรงที่หลอดเลือดใหญ่ของเขาพอดี ด้วยกังฟูของเธอ แค่เธอต้องการ เธอก็สามารถเอาชีวิตเขาไปได้ทุกเมื่อ
แต่กู้ซือเฉียนกลับยิ้มแห้งและพูดว่า:“ยอมแพ้?อย่าแม้แต่จะคิด!”
พูดจบ เขาก็จับน่องที่ขี่อยู่บนคอของเขาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทิ้งตัวกลิ้งลงกับพื้น เหวี่ยงเฉียวฉีออกไปทันที
แต่ว่า เฉียวฉีจะยอมถูกเขาเหวี่ยงได้ยังไง
แม้ว่าตัวเธอจะตกลงมา แต่มือของเธอก็ยังจับอยู่ที่คอของเขา ในท่าทางที่ดูแปลกประหลาด และเธอก็ปีนขึ้นไปบนหลังเขาอีกครั้ง
แบบนี้ ทำให้กู้ซือเฉียนเริ่มรู้สึกโมโห
เขาพูดด้วยความโมโห:“เฉียวฉี นี่มันท่าอะไร ลงมาเดี๋ยวนี้!”
เฉียวฉียิ้มแห้ง เธอจับคบของเขาเอาไว้อย่างแน่น หน้าของเขาแดงไปหมดก็ไม่ยอมปล่อยมือ เธอพูดว่า:“ต่อสู้แบบอิสระยังจะถามอะไรเยอะแยะ กู้ซือเฉียน ไม่เจอกับสี่ปี กังฟูของคุณไม่พัฒนาเลย แต่นิสัยของผู้หญิงกลับพัฒนาขึ้นไม่น้อย ไม่แปลกที่กลุ่มมังกรแย่ลงเรื่อยๆ ตอนนี้แทบจะไม่มีอำนาจอะไรแล้ว”
คำพูดแบบนี้ดูเหมือนจะทำให้เขาโมโห เห็นเบ้าตาของเขาแดงก่ำ เขากัดฟันและพูดว่า:“ผมจะนับหนึ่งถึงสาม ปล่อยมือ!”
เฉียวฉีไม่ยอม “ไม่ปล่อย!”
“เหอะ!”
เขายิ้มแห้ง วินาทีต่อมา เฉียวฉีรู้สึกปวดที่ข้อมืออย่างรุนแรง สายตาของเธอเย็นชา ไม่พูดไม่จา ขยับเท้า เขวี้ยงเขาลงบนพื้นทันที
ทั้งสองคนสู้กันต่อบนพื้น
แต่การต่อสู้ครั้งนี้ไม่นานนัก เพราะบนพื้นเดินทีก็เป็นความชำนาญของยูโด เฉียวฉีขยับไม่กี่ทีก็จับกู้ซือเฉียนเอาไว้ได้
มือข้างหนึ่งจับมือเขาไว้ด้านหลัง มืออีกข้างหนึ่งจับหัวเขาไว้ เธอคุกเข่าอยู่บนหลังของเขา กดเขาลงกับพื้นจนลุกขึ้นไม่ได้
“ยังไง? ยอมรึยัง?”
พวกเขาทั้งสองคนหอบ เฉียวฉียิ้มอย่างมีชัย
กู้ซือเฉียนโมโหจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว สองสามปีมานี้ เขาไม่ค่อยแสดงท่าทีโหดร้ายสักเท่าไหร่ เขากัดฟันและพูดว่า:“ไม่ยอม!”
พึ่งจะพูดเสร็จ มือที่จับหัวเขาอยู่ของเฉียวฉีก็กดลงอย่างแรง กดหน้าของเขาลงบนพื้นหญ้า
“ยอมรึยัง?”
“ไม่ยอม!”
กดลงไปอีกครั้ง!
“ยอมรึยัง?”
“ไม่ยอม!”
แม่ง! เฉียวฉีโมโห จับผมของเขาแล้วดึงเขาขึ้นมา พลิกตัวและต่อยไปที่ท้องของเขา
“ถามคุณอีกครั้ง ยอมรึยัง?”
แรงของเธอไม่ใช่เบาๆ ทำเอากู้ซือเฉียนเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
หลินซงที่อยู่อยู่ไม่ไกลๆเห็นแบบนี้ เขาก็หน้าซีด รู้ดีว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาต้องต่อยกันจนเกิดเรื่องแน่ๆ เขารีบวิ่งเข้าไปแยกพวกเขาออกจากกัน
“อาเฉียว พอแล้วพอแล้ว หยุดได้แล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ กู้ซือเฉียนแพ้แล้ว”
กู้ซือเฉียนกุมท้องอยู่นาน ในที่สุดก็หายใจออก พ่นน้ำลายออกมาบนพื้นแล้วพูดอย่างโมโหว่า:“ใครบอกว่าผมแพ้?”
หลินซงหันหน้าไปเบิกตาใส่เขา
เฉียวฉียืนขึ้นตัวตรงลูบข้อมือของตัวเอง จ้องมองไปที่เขาแล้วเยาะเย้ย:“ไม่เป็นไร ไม่ยอมแพ้ก็มาอีกสิ วันนี้ไม่ต่อยจนคุณเรียกแม่ อย่ามาเรียกนามสกุลฉันว่าเฉียว!”
หลินซง:“……”
หลินเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ เธอโมโหจนตัวสั่นไปหมด
เธอรีบวิ่งเข้ามา อยากจะจับเฉียวฉีเอาไว้ แต่ก็กลัวว่าเธอจะต่อยตัวเอง เธอจึงทำได้แค่ยืนชี้อยู่ตรงนั้น แม้แต่ปากและนิ้วก็สั่น แต่เธอก็พูดไม่ออกสักคำ
ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้……
น่ากลัวและน่าเกลียดที่สุด!
เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง? เธอยังเป็นผู้หญิงอยู่รึเปล่า?