ทั้งสองคนใส่ชุดกีฬาสีดำ ผู้ชายดูเงียบขรึมและอ่อนโยน ดวงตาที่เงียบสงบและซื่อบื้อ
ถ้าเจอกับคนที่ไม่รู้จัก กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาที่เรียบร้อย
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงกลับสดใสร่าเริงมากกว่า ผมยาวสีดำของเธอมัดหางม้าสูงไว้ด้านหลัง รูปร่างหน้าตาสดใสสวยงาม สายตาเฉียบแหลม ริมฝีปากของเธอโค้งงอ ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เธอแค่ยิ้มอ่อนๆ
ทั้งสองยืนรออยู่ที่นั่นพักหนึ่ง เห็นรูปร่างสูงผอมเดินออกมาท่ามกลางความมืดอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนต่างตกใจ
ก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงที่สุขุมผ่านทางโทรศัพท์ คิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงที่มีอายุ แต่คิดไม่ถึงว่าจะอายุน้อยขนาดนี้
เจ้าแปดก้าวขาเดินเข้ามาก่อน เธอหรี่ตาและยิ้ม “สวัสดีค่ะ คุณเฉียว?”
เฉียวฉียื่นมือออกไปจับมือเธอ “ฉันเอง”
ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังก็ก้าวเข้ามาจับมือเธอ
เฉียวฉีไม่ได้พูดคุยอะไรกับเธอมากนัก เธอมองไปที่รถออฟโรดที่อยู่ข้างหลังและถามว่า“ของล่ะ?”
“อยู่ในรถ”
เธอเดินเข้าไปที่รถ
เจ้าแปดก็เดินตามไป เปิดท้ายรถ เห็นถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่วางอยู่นิ่งๆ
เจ้าแปดลูบจมูกและกระแอม รู้สึกเขินอาย
“ขอโทษนะคะ เวลาเร่งรีบ เลยไม่มีเวลาหาสิ่งที่ดีกว่านี้ห่อเธอ เลยใช้ถุงห่อแทน”
สีหน้าของเฉียวฉียังคงสงบนิ่ง พูดเบาๆว่า “ไม่เป็นไร”
เธอมองดูอย่างเงียบๆอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปถามเจ้าแปด:“ยังเป็นบัญชีก่อนหน้านี้?”
เจ้าแปดพยักหน้า
เฉียวฉีไม่พูดไม่จา ก้มหน้าลงหยิบโทรศัพท์ออกมาโอนเงินให้เธอ
ก่อนที่เธอจะออกมาเธอไปขอบัตรมาจากลุงโอ เพราะว่าจำนวนเงินไม่มาก ลุงโอจึงทำตามคำขอร้องของเธอ เพราะแบบนี้ เขาเอาบัตรให้เธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฉียวฉีรู้ดีว่า ต่อไปเธอเองจะมีประโยชน์ต่อกู้ซือเฉียนเป็นอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงใช้เงินของเขาอย่างไม่รู้สึกเสียดาย
ยิ่งไม่มีความรู้สึกผิดอะไร เพราะเงินพวกนี้เดิมทีก็เป็นเงินที่เขาต้องเอาให้เธอ
ผ่านไปไม่นาน เงินก็โอนเข้าไปแล้ว
ทันทีที่เธอโอนไป เจ้าแปดก็ได้รับข้อความอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มอย่างเป็นมิตร:“ได้รับแล้วค่ะ ฉันเห็นว่าคุณไม่ได้ขับรถมา คงไม่สะดวกที่จะพาเธอไปด้วยรึเปล่า ให้ฉันไปส่งพวกคุณไหม?”
คิดไม่ถึง เฉียวฉีกลับส่ายหน้า
เธอหันหน้ากลับไปมองร่างมืดมิดที่นอนอยู่ในรถอีกครั้งแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม:“ที่ที่เธอจะไปอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ฉันอุ้มเธอไปก็ได้”
เจ้าแปดเห็นแบบนี้ ถึงแม้จะคิดว่าคำพูดของเธอฟังดูแปลกๆ แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “โอเค งั้นเราไปก่อนนะ ขอให้เราร่วมมือกันอย่างมีความสุข ครั้งหน้ามีงานอะไรอีก หวังว่าคุณคงมาหาพวกเรา”
เฉียวฉีพยักหน้าให้เธออย่างเป็นมิตร
เจ้าแปดและลูกน้องของเธอจึงช่วยกันยกศพลงมา จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถออฟโรดขับออกไป
เสียงรถแล่นออกไปในยามค่ำคืน จากนั้นบรรยากาศก็เงียบลง ในพื้นที่ที่กว้างขวาง ตอนนี้เหลือเพียงแค่เฉียวฉีคนเดียว และยังมีศพที่กำลังจะเน่าอีกหนึ่งศพ
มองยังไงก็รู้สึกแปลกๆ
เธอยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆพักหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลง รูดซิปถุงเก็บศพ กลิ่นเหม็นหืนที่อธิบายไม่ได้ก็พุ่งเข้ามาที่หน้าของเธอ
เธอยกมือขึ้นใช้แขนเสื้อปิดปากปิดจมูก อาศัยแสงพระจันทร์ในยามค่ำคืน ในที่สุดก็เห็นร่างที่นอนอยู่
มันคือเธอจริงๆ
โหวเฟิ่ง หัวหน้าของสโมสรกลุ่มหงส์แดง ตอนนั้น เธอเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
หลังจากที่สโมสรกลุ่มหงส์แดงล้มสลาย โหวเฟิ่งก็หายตัวไป ในตอนนั้น เธอได้ยินว่าอีกฝ่ายหนีไปประเทศR
เฉียวฉียังเคยดีใจ แต่โชคดีที่ทุกคนไม่ตายจากภัยพิบัติครั้งนั้นทั้งหมด ยังไงก็ตาม หนีออกมาได้คนหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่ทำไม ผ่านไปสี่ปีครึ่ง เธอถึงได้เจอกับศพของของเธอที่ต่างบ้านเมืองเกิด?
หรือว่า เธอหนีไม่พ้น?
คนที่เคยอยู่เคียงข้างเธอตายไปทีละคน ตายไปกันหมด ไม่มีใครรอดสักคน
เฉียวฉีหลับตาลง เพียงแค่รู้สึกที่หน้าอกมีความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก มันกระแทกหน้าอกของเธออย่างรุนแรง ทำให้เธอเจ็บปวดจนอย่างจะกรีดร้อง
แต่ว่าเธอกัดฟัน ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเอาไว้
ราวกับถูกตีจนฟันหักและกลืนกินลงไปพร้อมกับเลือด แม้แต่ความแค้นที่อยู่ในกระดูกก็กลืนลงไปด้วย
เธอแบกศพขึ้นมาแล้วเดินออกไป
ไม่ไกลนัก มันคือเมรุที่รกร้างว่างเปล่า
เวลานี้ คนทำงานที่เมรุเลิกงานกันหมดแล้ว เฉียวฉีแบศพขึ้นมา ก้าวไปอย่างมั่นคง กระโดดข้ามกำแพงสูงเข้าไป
เธอเดินไปที่หน้าประตูเหล็ก ใช้กิ๊บติดผมเล็กๆบนหัวเปิดล็อคประตู จากนั้นก็เปิดประตูเบาๆ จู่ๆก็มีกลิ่นเหม็นที่อธิบายไม่ได้พุ่งเข้ามาที่หน้าเธอ เธอรู้ว่ามันคือกลิ่นของศพ หลายคนเชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ย ก่อนถึงวันมงคล พวกเขาจะเอาศพมาไว้ที่นี่ชั่วคราว
เฉียวฉีไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งตัวเองจะมาทำเรื่องแบบนี้ในสถานที่แบบนี้เพียงลำพัง บนโลกใบนี้คงไม่มีเรื่องอะไรที่แปลกไปกว่าการแอบเผาศพแล้ว!
แต่เธอไม่มีเวลามาเสียใจ กู้ซือเฉียนยังรอเธออยู่ที่ปราสาท เธอเชื่อว่าถ้าเธอไม่กลับไปก่อนสองทุ่มครึ่ง ผู้ชายคนนั้นจะต้องออกมาหาเธอแน่นอน
ดูเหมือนเขาจะทำแบบนี้ตลอด เรียบง่ายและรุนแรงแต่ใช้ได้ผล
ดังนั้นเธอจึงปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว รีบเดินเข้าไปที่เตาเผาอย่างรวดเร็ว ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เอาศพที่เย็นเฉียบวางลงมา ไม่ได้เปิดดูแต่กลับยัดเข้าไป
ถุงสีดำกลายเป็นเปลวไฟสีฟ้าท่ามกลางไฟที่โหมกระหน่ำ เฉียวฉียืนอยู่หน้าเตาเผา รู้สึกถึงอุณหภูมิที่แผดเผากำลังเผาเข้ามาที่หน้าของตัวเอง ความเจ็บปวดที่ชัดเจนราวกับมดหนึ่งหมื่นตัวแทรกซึมเข้าไปในผิวหนัง เจาะเข้าไปในหลอดเลือด แทะกินเข้าไปในหัวใจอย่างแผ่วเบา
เธอกดหน้าอกของตัวเอง ดวงตาของเธอเจ็บปวดแต่น้ำตากลับไม่ไหวออกมาแม้แต่หยดเดียว
ดูเหมือนว่าน้ำตาที่ควรจะไหลออกมา มันได้ไหลออกไปหมดแล้วเมื่อสี่ปีก่อน
วันและคืนเป็นร้อย เธอถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดมิด ร้องขออย่างขมขื่น อยากจะร้องขอชีวิตให้กับเพื่อนของตัวเอง
แต่สุดท้าย ไม่ได้ ไม่ได้อะไรเลย
ดังนั้น เธอสิ้นหวังแล้ว ในช่วงเวลานั้น เธอแทบจะเสียน้ำตาไปหมดทั้งชีวิต
ผ่านไปสี่ปี เฉียวฉีไม่มีทางกลับไปร้องไห้แบบนั้นได้อีกแล้ว
ความเจ็บปวดแบบนั้น คนนอกไม่มีทางเข้าใจ มันเป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ทับถมลงมาในใจของเธอ
เมื่อก่อน ไม่รู้ว่าใครเคยพูดไว้ประโยคหนึ่ง
เมื่อคนต้องผ่านเรื่องราวมากมาย ก็จะยิ่งสงบนิ่งมากขึ้น มีโลกส่วนตัวมากขึ้น เก็บซ่อนความชั่วร้ายเอาไว้ ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัย แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่ต้องการเอาชีวิตของคู่ต่อสู้ในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น