เฉียวฉีคิดว่า เธอน่าจะทำได้
เพื่อเพื่อนของเธอ เพื่อคนน่ารักที่เคยยืนอยู่เคียงข้างเธออย่างไม่ลังเลแต่กลับต้องล้มลงทีละคน
เธอต้องทำได้!
ค่ำคืนที่เหน็บหนาว เธอมองดูเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ สายตาของเธอก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นราวกับว่าเห็นผู้หญิงที่กล้าหาญชาญชัยคนนั้นอีกครั้ง เธอใส่ชุดสีดำยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ยิ้มให้เธออย่างบ้าคลั่ง
“อาเฉียว! ผู้ชายมันคืออะไร ต่อไปมาอยู่กับพวกเราสิ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป!”
เสียงที่เย่อหยิ่งและสนิทสนมพวกนั้นราวกับว่าดังก้องอยู่ในหูของเธอ แต่ในใจของเฉียวฉีกลับมีความรู้สึกคลุมเครือที่อธิบายไม่ถูก
ตลอดไป? ตลอดไปนานแค่ไหนกัน!
ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่เหมือนมีดคมๆ กีดผ่านส่วนที่บอบบางที่สุดของหัวใจ กีดเป็นรูยาวๆออกมา เลือดไหลจนแห้งเหือด เหลือไว้เพียงความชาและความว่างเปล่า
เฉียวฉีหลับตาลง ผมของเธอถูกลมพัดผ่านใบหน้าทำให้รู้สึกคัน มีกลิ่นเหม็นของศพที่ไหม้ลอยเข้ามากระทบที่ปลายจมูก แต่มันเหมือนกับมีค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบเข้ามาที่ใจของเธอ
“โหวเฟิ่ง”
เสียงเรียกดังขึ้นในหัวใจเบาๆ มีความโดดเดี่ยวและความว่างเปล่าที่ไม่รู้จักหมด เธอมองดูเปลวไฟที่แผดเผาเป็นเถ้าถ่าน จู่ๆเธอก็พูดเบาๆว่า:“ลาก่อน”
“เฮ้! นั่นใคร?”
ทันใดนั้นประตูเหล็กก็เปิดออก ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดคนงานสีน้ำฟ้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ ดูเหมือนว่าเขากำลังเมา เดินโวซัดโวเซ แต่เขาก็ยังมองเห็นเธอ ชี้มาที่เธอและตะโกนตะกุกตะกัก:“คุณ คุณเป็นใคร?”
รีบเก็บซ่อนความรู้สึกทุกอย่างอย่างรวดเร็ว เฉียวฉีหันหน้าไปชำเลืองมองชายขี้เมาคนนั้น เธอยิ้มมุมปากแปลกๆ จากนั้นก็กระโดดปีนขึ้นไปบนกำแพง แล้วกระโดดลงไปอยางว่องไว
ราวกับผี รวดเร็วจนทำให้คนเห็นแค่เงาสีดำที่ล่องลอยผ่านไป ไร้ร่องรอยในทันที
ชายวัยกลางคนตกใจ ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพัก ขวดเหล้าในมือของเขาตกลงบนพื้น“เพล้ง”เขารีบวิ่งออกไปและตะโกนว่า:“อ๊าย! มีผี! มีผี!”
นกที่กำลังนอนหลับต่างพากันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องตกใจของเขา แต่คนที่ที่ก่อเรื่องกลับวิ่งหนีไปตั้งนานแล้ว สุดท้ายก็หันกลับไปมองที่ที่มีสีแดงของเปลวไฟในยามค่ำคืนอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ ที่ปราสาท
กู้ซือเฉียนนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เขานั่งมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว
เวลากินอาหารเย็น คนรับใช้ไปเรียกเขาแต่ถูกไล่ออกมา บอกว่าไม่หิวไม่อยากกิน
แต่กลับเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขามืดมน มีสัญญาณของลมมรสุม
คนรับใช้ไม่กล้าขัดคำสั่งเขาจึงรีบลงมา เพราะว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ทุกคนก็รู้สึกตึงเครียดไปด้วย ทำเรื่องอะไรก็ต้องระมัดระวัง กลัวว่าจะทำอะไรให้เขาไม่พอใจ เดี๋ยวจะซวยอย่างไม่รู้ตัว
ทั้งปราสาทเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่
และทุกคนในปราสาท รวมทั้งลุงโอต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินเยว่เอ๋อร์พึ่งเข้ามาหลังเวลาอาหารเย็น รู้ว่ากู้ซือเฉียนอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้กินข้าว เธอจึงยกซุปที่ทำเองกับมือไปให้เขา
หลังจากบทเรียนก่อนหน้านี้ เธอรู้ว่า ถึงแม้กู้ซือเฉียนจะยังเก็บเธอเอาไว้ แต่เขาไม่ชอบให้เธอไปอยู่ใกล้ๆ และก็ไม่ชอบให้เธอจัดอาหารให้เขาตามอำเภอใจ
ดังนั้น ครั้งนี้ เธอจึงหยุดอยู่ที่บันได ให้โอลุงโอเป็นคนยกไปให้เขา บอกความในใจของเธอให้เขารู้ บอกว่าเธอออยากเจอเขา
ลุงโอเดินเข้าไป เดิมทีคิดว่ากู้ซือเฉียนจะไม่อยากเจอกับเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาพยักหน้า
ผ่านไปไม่นาน หลินเยว่เอ๋อร์ก็มาอยู่ในห้องรับแขกของตึกใหญ่ เห็นเขาเดินลงมาจากข้างบน
“ซือเฉียน!”
รอยยิ้มที่อ่อนหวานโผล่ขึ้นมาบนใบหน้าของเธอทันที เธอเดินเข้าไปแล้วพูดว่า:“ได้ยินมาว่าคุณกลับมาก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง อาหารเย็นก็ไม่กิน คุณเป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”
กู้ซือเฉียนมองหน้าเธออย่างเย็นชา ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา
“มีเรื่องอะไร?”
เห็นว่าเขาไม่ตอบคำถามของตัวเอง หลินเยว่เอ๋อร์ก็รู้สึกลำบากใจ ต่อหน้าคนรับใช้ เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่เธอก็รู้ดีว่า กู้ซือเฉียนนิสัยแบบนี้ ถ้าเธออยากอยู่กับเขา ต้องมีความอดทนและความเพียรพยายามมากกว่านี้
ดังนั้น เธอจึงยิ้มและก้าวออกไปข้างหน้า:“ไม่มีอะไร บ่ายวันนี้อยู่เฉยๆไม่มีอะไรทำ ก็เลยทำซุปกินเอง ตอนกินอาหารเย็นฉันชิมไปแล้วนิดหน่อย มันก็อร่อยดี ได้ยินมาว่าคุณไม่มีอารณ์กินข้าว เลยเอามาให้คุณลองชิม”
เงียบไปพักหนึ่ง กลัวว่าเขาจะโกรธ เธอจึงรีบพูดต่อว่า “ไม่กินก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ของหายากอะไร ฉันแค่เป็นห่วงคุณ”
กู้ซือเฉียนมองหน้าเธอ ค่อยๆก้าวขาเดินลงไป
พันแขนเสื้อพร้อมกับบอกว่า:“ในเมื่อคุณเป็นห่วง ผมไม่กินมันก็คงจะผิดมนุษย์มนา”
หลินเยว่เอ๋อร์ได้ยินแบบนี้ สายตาของเธอก็เป็นประกาย
ในใจของเธอมีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย แต่เพราะว่ามันผิดหวังบ่อยครั้ง เธอจึงไม่กล้าแสดงออกมามากเกินไป
เธอก้มหน้าลงและพูดเบาๆว่า:“ไม่เป็นไรค่ะ คุณรับฉันมาอยู่ด้วย ฉันก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว ขอแค่ได้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ สำหรับฉันแล้วมันคือความสบายใจ ถ้าคุณไม่อยากกินจริงๆ แต่กลับทนกินเข้าไปเพราะความหวังดีของฉัน มันจะดูเหมือนว่าฉันกลายเป็นภาระของคุณ”
คำพูดพวกนี้ช่างพูดได้อย่างสวยงามมาก
แม้แต่กู้ซือเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม มองเธอตั้งแต่หัวจรดพื้น
พูดได้เลยว่าช่วงบ่ายผ่านไป ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งตัว การพูดการจาและการกระทำ ล้วนแต่แตกต่างไปจากตอนอยู่ที่สนามกอล์ฟวันนี้อย่างสิ้นเชิง
เขาเลิกคิ้ว รู้สึกแปลกใจและก็รู้สึกตลก
เธอไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ไหน มีแผนการอะไรอีก?
แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนการอะไร เห็นได้ชัดว่ากู้ซือเฉียนไม่ได้สนใจในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
เพราะแบบนี้ เขาเลยพูดอย่างเย็นชา:“ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณก็ยกกลับไปเถอะ! ผมไม่อยากกิน”
พูดจบก็เดินผ่านเธอออกไปข้างนอก
ถึงแม้ว่าเธอจะเดาออกอยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ได้ยินเขาพูดออกมาจากปากจริงๆ จะบอกว่าในใจของหลินเยว่เอ๋อร์ไม่เสียใจก็คงไม่จริง
ทั้งๆที่วันนี้ตอนกลางวันยังออกหน้าแทนเธอ ยอมหักหน้าแฟนเก่าของตัวเอง ทำไมจู่ๆตอนนี้ถึงได้กลายเป็นคนใจร้ายแบบนี้?
แต่เธอรู้ว่า ตอนนี้เธอไม่ควรถามอะไร
เธอจึงฝืนยิ้มออกมา เดินตามเข้าไปและพูดว่า:“โอเค ฉันจะยกออกไปเดี๋ยวนี้ คุณจะออกไปตอนนี้เหรอ?”
กู้ซือเฉียนหยุดเดิน
หันหน้าไปมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา
“คุณหลิน ตอนนี้คุณอยู่ในฐานะอะไร?”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจ
ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูสายตาที่เย็นชาของเขาไกลๆ ของเธอสับสนไปหมด