ที่เหลืออยู่นั้น ถูกซ่อนไว้บนแผนที่ใบหนึ่ง และแผนที่ใบนั้นก็ถูกกู้ซือเฉียนเก็บซ่อนเอาไว้ เขามิอาจไขปริศนาได้
บังเอิญกับที่เฉียวฉี อยู่ในคุกก่อนหน้านั้น และได้สืบหาช่องทางบางอย่างพบ จึงได้วาดรูปนั้นออกมาและมีโอกาสในการทำความร่วมมือกับเขาในครั้งนี้
ทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครพูดอะไรออก บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงบทันใด
ผ่านไปสักพัก จึงได้ยินกู้ซือเฉียนพูดขึ้นว่า “เมื่อข้อมูลของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ออกมา กลุ่มหงส์แดงและกลุ่มมังกรในฐานะผู้ก่อตั้งรายใหญ่ทั้งสอง ก็ได้เข้าสู่การแย่งชิงสมบัติล้ำค่านี้ทันที ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในขณะนั้น จู่ๆความลับอันลึกซึ้งของทั้งสองฝ่ายก็ถูกใครบางคนออกมาเปิดเผย”
“ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมใช้ประโยชน์จากคุณ แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนั้นละก็ จากความดุเดือดของการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย พวกเราคงจะตายทั้งหมด!”
“หอยกาบและนกทะเลาะกัน สุดท้ายแล้วชาวประมงก็รับประโยชน์ไปเต็มๆ! ต่อให้พวกเราเอาชนะกลุ่มหงส์แดงได้ ก็คงจะบาดเจ็บไม่น้อย ต่อมาหลังจากที่กลุ่มมังกรประกาศยุบตัว ทุกคนก็แยกย้ายกันไป เมื่อจากกันไปแล้วจะยังรุ่งเรืองได้เหมือนเมื่อก่อนเหรอ? เฉียวฉี คุณไม่เคยคิดมาก่อนหรือไงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะเหตุผลอะไร?”
เฉียวฉีชะงักลงทันใด
เธอเงยหน้าขึ้น และมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาของกู้ซือเฉียน มีบางอย่างแวบเข้ามาในสมองของเธอจนทำให้สันหลังของเธอเสียววาบ
“คุณหมายความว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นมีคนวางแผนไว้แบบนี้เหรอ?”
“ใช่” กู้ซือเฉียนหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น และบอกถึงการเยาะเย้ยตนเอง “แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อะไรกัน ตายแล้วเกิดใหม่อะไรกัน! ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจอมปลอม เพียงแค่มีคนต้องการสร้างขึ้นมาเหมือนละครฉากหนึ่งเท่านั้น พวกเขาสามารถดึงดูด กลุ่มก่อตั้งใหญ่ถึงสองกลุ่มให้มาต่อสู้กันอย่างดุเดือดได้ ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายก็สูญเสียอย่างมหันต์ ที่จริงแล้วหยกก้อนนั้น ละครฉากนั้นและรวมไปถึงแผนที่ทุกใบล้วนเป็นเรื่องโกหก!”
เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่หัวหน้ากลุ่มหงส์แดงซึ่งเคยมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องพูดเอาไว้กับเธอ
เขาบอกว่า “เฉียวฉี ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นอมตะ หากทุกคนตายหมดแล้ว คนที่มีชีวิตเป็นอมตะจะอยู่เพื่ออะไรกัน? ผมเพียงต้องการนำมันม้าช่วยชีวิตเชียนเชียนเอาไว้เท่านั้น และตอนนี้เชียนเชียนแทบจะไม่ไหวแล้ว เฉียวฉี ถ้าเห็นผมเป็นพี่น้องก็ต้องช่วยผมนะ”
เชียนเชียนเป็นลูกสาวคนเดียวของเขา
และเฉียวฉีไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ช่วยเขา
สำหรับเธอแล้วไม่ว่าทรัพย์สมบัติจะมีค่าขนาดไหน สุดท้ายก็เป็นเพียงสิ่งของนอกกายเท่านั้น
และสมบัตินี้ก็ได้กลายมาเป็นความขัดแย้งอันดุเดือดดุจสายเลือดของกองกำลังใต้ดินหลายแห่ง แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงเกมที่คนอื่นสร้างขึ้นมา
สายตาของกู้ซือเฉียนมองไปยังเธอ ใบหน้าของเขาทำท่าทีจริงจังขึ้นมา เฉียวฉีเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วถามว่า “คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
นิ้วมือของกู้ซือเฉียนขยับเล็กน้อย
ริมฝีปากบางเผยอขึ้นพูดว่า “ประมาณครึ่งเดือนก่อน”
“นั่นหมายความว่า คุณรู้ก่อนที่ฉันกำลังจะออกจากคุกใช่มั้ย?”
เขาพยักหน้าตอบรับ
เฉียวฉียิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย
“ในเมื่อคุณรู้ว่าเป็นแบบนี้แล้วทำไมคุณถึงต้องยอมรับเงื่อนไขของฉัน? และให้ฉันช่วยคุณไขปริศนาแผนที่ที่ไม่มีประโยชน์ใดๆอยู่เลย? คุณรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นเพียงเกม เป็นเพียงแค่กระดาษไม่มีค่าใบหนึ่ง?”
ในห้องหนังสือเงียบสงัดลงทันใด ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
กู้ซือเฉียนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆราวกับต้นสนสีเขียวที่โดดเดี่ยวและดื้อรั้น
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดูเหมือนเฉียวฉีจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เธอหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง หันหลังกลับเดินจากไปข้างนอก
ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงอย่างรวดเร็ว
เขายกมือขึ้นไปจับข้อมือของเธอเอาไว้
“คุณจะไปไหน?”
“ฉันขออยู่เงียบๆ”
น้ำเสียงของเฉียวฉีนั้นเบามาก แต่ก็ไม่ได้เฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน
มือของเขาเกร็งขึ้นเล็กน้อย แต่ในที่สุดผ่านไปสักพักเขาก็ตัดสินใจปล่อยมือเธอไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผมไม่ให้คุณไปไหน”
เฉียวฉีไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอก้าวขาออกไป
ตลอดทั้งคืนนั้น บรรยากาศในคฤหาสน์เยือกเย็นลงอย่างน่าประหลาดใจ
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ว่าในค่ำคืนนี้บนใบหน้าของแต่ละคนดูระมัดระวังมากกว่าปกติเล็กน้อย
ไฟในห้องหนังสือของเรือนหลักเปิดอยู่ทั้งคืนไม่ได้ดับลง
ส่วนในเรือนเล็ก ไฟในห้องนอนก็สว่างอยู่ทั้งคืนเช่นกัน
เช้าวันต่อมา แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ตกกระทบไปยังผ้าปูที่นอนอันขาวสะอาด
เฉียวฉีลืมตาขึ้นและถูกแสงแดดที่ส่องเข้ามาแยงตา เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกำบัง
นาฬิกาแขวนผนังชี้เข็มไปยังเก้านาฬิกาแล้ว หมายความว่าเธอไม่ได้นอนนานสักเท่าไร
เมื่อคืนนี้ จู่ๆเธอก็รู้เข้ากับความจริง จึงทำให้รีบวิ่งกลับมายังห้องนอนด้วยความตกใจ เธอรู้สึกสับสนมึนงงจนทำให้นอนไม่หลับ
และนั่งอยู่ที่นั่นทั้งคืน เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวมากมายจนกระทั่งสว่าง จึงได้ฝืนหลับไป
จนตอนนี้เธอหลับไปเพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้เธอก็ไม่ได้คิดจะนอนต่อ
เธอลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเลือกชุดที่เบาสบายที่สุด ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
ที่ด้านนอกนั้นกู้ซือเฉียนกำลังพาสุนัขเดินเล่นอยู่ในสวน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เดินจูงสุนัขอยู่สองตัว และโน้มตัวไปแกล้งพวกมันอย่างสนุกสนาน
มองดูแล้ว เขาคงจะรักสุนัขสองตัวนี้มาก
เพราะแม้แต่สุนัขทั้งสองตัวนั้นจะกระโดดเข้ามาและเลียเขาก็ไม่เห็นเขาทำท่าทางรังเกียจใดๆออกมา
เฉียวฉียืนอยู่ตรงทางเดินซึ่งห่างออกไปไม่ไกลมาก ในใจของเธอนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่เขาพูดขึ้น ความทรงจำนั้นแวบเข้ามาในหัวใจทำให้สั่นเทา
ทันใดนั้นเอง ลุงโอ ก็เดินมาจากตรงที่ไม่ไกลนัก
“คุณเฉียวตื่นแล้วเหรอครับ?”
เฉียวฉีหันศีรษะไปมอง เมื่อพบว่าเป็นเขา เธอก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะลุงโอ”
“ครับ อรุณสวัสดิ์”
เมื่อลุงโอเผชิญหน้ากับเฉียวฉี ท่าทางของเขาแน่นอนว่าค่อนข้างดีทีเดียว
เขาเหลือบไปเห็นกู้ซือเฉียนที่กำลังพาสุนัขเดินเล่นอยู่บนสนามหญ้าและก็ยิ้มขึ้น “วันนี้คุณชายตื่นสายไปหน่อย ยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าเลย คุณเฉียวจะเข้าไปร่วมรับประทานอาหารเช้าในเรือนใหญ่ด้วยกันไหมครับ?”
เฉียวฉีก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนอะไรเลยครับ เดี๋ยวผมจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”
เมื่อเขาพูดจบ ก็หันหลังเดินลงไป
เฉียวฉียังคงยืนอยู่ที่นั่นมองเขาอยู่สักพักก่อนจะเดินไปยังห้องอาหาร
ในห้องอาหาร ลุงโอได้สั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมอาหารเช้าไว้เรียบร้อยและยกออกมา
แม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารเช้า แต่ก็มีความงดงามอย่างไร้ที่ติ
เฉียวฉีบังเอิญพบว่าอาหารหลายอย่างที่เธอชื่นชอบได้วางอยู่บนจาน เธอคิดในใจว่า นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือลุงโอตั้งใจเตรียมมาให้เป็นพิเศษกันนะ?
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากและดึงเก้าอี้ออกมานั่งลง
กู้ซือเฉียนเดินเข้ามา หลังจากนั้นประมาณสิบนาที
ทันทีที่เขาเข้ามาก็พบว่าเธอนั่งอยู่ที่นั่นด้วย ดวงตาสีดำเข้มของเขาไม่ได้แสดงถึงความประหลาดใจ ดูเหมือนกับจะเดาได้ว่าเธอจะเดินทางมาหาเขาในตอนเช้านี้
เขาส่งมอบสุนัขให้แก่คนรับใช้แล้วเดินไปล้างมือ ก่อนจะนั่งลง
“เมื่อคืนนี้ คุณคิดดีแล้วใช่ไหม?”
เขาถามขณะเช็ดมือด้วยผ้าขนหนู
เฉียวฉีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ลึกๆในหัวใจของเธอ ที่จริงแล้วเธอไม่อยากจะยอมรับความจริงอันโหดร้ายนั้นสักเท่าไหร่ แต่เธอก็รู้ว่ากู้ซือเฉียนจะไม่โกหกเธอแน่นอน มันไม่มีเหตุผลและไม่จำเป็นเลย