เมื่อพบว่าเธอนิ่งเงียบไป เขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูเธอ
เฉียวฉีเม้มริมฝีปากอยู่สักพักแล้วพูดว่า “ฉันคิดดีแล้วค่ะ”
สีหน้าของกู้ซือเฉียนยังไม่ได้เปลี่ยนไป ดวงตาดำเข้มของเขามีแสงผ่านเข้ามาแวบหนึ่ง
“คุณคิดว่ายังไงครับ?”
เฉียวฉีพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉันยอมรับว่าเมื่อสี่ปีก่อน พวกเราถูกหลอกจริงๆ แต่การที่คุณไม่สนใจคำวอนขอของฉัน และฆ่าพี่น้องของฉันนั้นก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน และฉันไม่อาจทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นได้”
คิ้วของกู้ซือเฉียนขมวดเข้าหากัน
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่าจะเป็นปรปักษ์กับผมยังงั้นเหรอ?”
เฉียวฉีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่าเมื่อฉันได้ออกมาแล้ว ฉันจะต้องตามแก้แค้นคุณให้ได้ จึงจะคุ้มค่าแก่การตายของพวกเขา”
“แต่ตอนนี้ฉันเพิ่งจะรู้ว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่พวกเขาโลภ แต่มีใครบางคนในกลุ่มหงส์แดงที่ละทิ้งสโมสรไป พวกเขาหันไปพึ่งพิงกลุ่มชาว จึงทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้น”
“แค้นนี้ฉันจะต้องไปคิดบัญชีกับพวกเขาให้ได้ แต่ว่ากู้ซือเฉียน บัญชีของฉันและคุณ ก็ยังไม่จบง่ายๆแบบนี้แน่”
กู้ซือเฉียนมองดูเธอและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
หลังจากที่เฉียวฉีกล่าวจบแล้ว เธอเองก็รู้สึกว่ามันช่างเยือกเย็นเกินไป เพียงแต่ในแต่ละวันละคืนในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา และการปรากฏตัวของเขาซึ่งไร้ความปรานีตอนที่เธออยู่ในคุก ภาพนั้นยังคอยหลอกหล่อนจิตใจของเธออยู่เสมอไม่เคยเลือนหายไป เธอจะโบกมือให้ทุกสิ่งทุกอย่างสลายไปอย่างไม่สนใจ คงทำไม่ได้
เธอให้ความสนใจมันมากทีเดียว
ดังนั้นเธอจึงไม่อาจตกลงข้อเสนอของกู้ซือเฉียนได้
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ กู้ซือเฉียนจึงได้พูดขึ้นว่า “แล้วคุณคิดจะทำอย่างไร?”
จะทำอย่างไรเหรอ?
เฉียวฉียืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
บอกตามตรงว่าคำถามนี้เธอเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน
เธอไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบลงอีกครั้ง
กู้ซือเฉียนดูเหมือนจะคาดเดาได้ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาจึงได้หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วพูดว่า “ถ้าคุณยังคิดไม่ออกก็คิดดูใหม่นะ ตอนนี้ทานข้าวก่อนเถอะ”
เมื่อพูดจบพวกเขาก็ลงมือรับประทานอาหารกันอย่างเงียบๆ
เมื่อคืนนี้เฉียวฉีไม่ได้รับประทานอาหารเย็น ตอนที่ตื่นมาเช้านี้เธอหิวมาก เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็ไม่ได้ทำตัวอิดออดอะไรแต่ยกตะเกียบขึ้นมาและรีบกินมันทันใด
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว โทรศัพท์มือถือของกู้ซือเฉียนก็ดังขึ้น
เขาหันหลังเดินออกไปรับโทรศัพท์ เฉียวฉีนั่งอยู่สักพัก และมองดูคนรับใช้เก็บจานชามเข้าไปในครัว เดิมทีเธอตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้คุยกับกู้ซือเฉียนให้รู้เรื่อง
แต่จู่ๆเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อสักครู่นี้เขาถามคำถามกับเธอ เธอเองก็ไม่ตอบเขาออกไปทันที ช่างมันเถอะ
เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไป
กู้ซือเฉียนยืนรับโทรศัพท์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ราวกับว่าเขาไม่เห็นท่าทางของหญิงสาว
เมื่อตอนที่ร่างของหญิงสาวเดินออกไปจากประตู ริมฝีปากของเขาก็เผยอขึ้นเล็กน้อย
วันนี้อากาศดีมาก ดวงอาทิตย์ส่องแสงสดใสมาจากด้านนอก หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว อารมณ์ของเฉียวฉีก็ผ่อนคลายลงบ้าง ความง่วงเริ่มเข้ามาครอบงำเธออีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงได้เดินกลับไปในห้องและนอนหลับ
เมื่อตอนที่เธอตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายแล้ว
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เธอขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วรีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนลงจากเตียง
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เธอก็พบกับหลินเยว่เอ๋อร์ ยืนทำใบหน้าโกรธเคืองอยู่ตรงประตู
สำหรับคนสนิทของกู้ซือเฉียนคนนี้นั้น เฉียวฉีไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
แม้เธอจะไม่ชอบที่เห็นผู้หญิงแบบนี้อยู่ข้างกายเขาเท่าไรนัก แต่เธอก็รู้ดีว่า จากความเย่อหยิ่งของเขาคงไม่เอาผู้หญิงแบบนี้แน่ๆ
เหตุผลที่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ข้างกาย เกรงว่าจะมีเหตุผลอื่น หรือเพราะต้องการทำให้เธอโมโหกันนะ?
เฉียวฉีทำหน้ามุ่ยแล้วถามว่า “มีเรื่องอะไรคะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ที่เผชิญหน้ากับความเยือกเย็นของเธอ ทำให้ในใจเย็นวูบ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ของการเดินทางมาในวันนี้คืออะไร เธอก็เงยหน้าขึ้น
เธอเชิดหน้ายืดอกและทำเหมือนตัวเองสูงส่งพูดว่า “สร้อยคอของฉันหายไปเส้นหนึ่ง เธอเอามันไปใช่ไหม?”
เฉียวฉีขมวดคิ้วเข้าหากัน
เธอไม่รู้ว่าหลินเยว่เอ๋อร์กำลังคิดแผนการอะไรอยู่ แต่สร้อยคออะไรนั่นเธอไม่เคยเห็นเลย
ดังนั้นเฉียวฉีจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า “เปล่า”
หลินเยว่เอ๋อร์หัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็น
“แกบอกว่าเปล่าก็คือเปล่าอย่างงั้นเหรอ? เรือนนี้มีแค่พวกเราสองคน คนรับใช้เหล่านั้นไม่กล้าหยิบของสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก มีแต่แกนั่นแหละที่เป็นไปได้”
เมื่อพูดจบเธอก็ใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามมองไป ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เชอะ! แต่จะว่าไป คนที่ต้องแต่งตัวแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะมาพักที่นี่ด้วยซ้ำ เป็นเพราะกู้ซือเฉียนจิตใจโอบอ้อมอารีและไม่อยากเห็นแกต้องไปนอนอยู่ข้างถนนสินะ ไม่ตอบแทนบุญคุณยังไม่ว่า นี่อะไรมาขโมยของฉันอีก คุณเฉียวคุณมีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่า?”
สีหน้าของเฉียวฉีเยือกเย็นลงทันใด
คิ้วเข้มเข้ารูปของเธอขมวดเข้าหากัน ดวงตาอันเย็นชามองไปและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณหลินคะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ฉันไม่อยากจะลงไม้ลงมือกับคุณ ดังนั้นฉันขอแนะนำว่าคุณควรระวังคำพูดเอาไว้ให้ดี!”
หลินเยว่เอ๋อร์หยุดนิ่งไป ดูเหมือนเธอจะกลัวเล็กน้อย
เนื่องจากความสามารถของเฉียวฉี เธอเองก็เคยเห็นมาก่อนกับตา
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในคฤหาสน์ของกู้ซือเฉียน ต่อให้เธอจะลงมือกับตน ก็ควรจะนึกถึงหน้าของกู้ซือเฉียนบ้าง
หากจะตีหมาก็ควรดูเจ้าของด้วยไม่ใช่หรือไง?
เมื่อคิดได้ดังนั้นความกลัวในใจของเธอก็จางลงเล็กน้อย
เธอจึงได้หัวเราะเยาะเย้ยและพูดว่า “ถ้ากล้าเอาก็ต้องกล้ารับสิ ทำไมล่ะ?คุณขโมยของไป แต่ฉันไม่มีสิทธิ์พูดอย่างงั้นเหรอ?”
เฉียวฉีจ้องไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา และไม่อยากพูดอะไรออกมาอีก
เธอจึงได้หันหลังกลับเข้าไปด้านใน และเปิดประตูกว้าง
“เข้ามาสิ”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกตะลึง
เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
จิตใต้สำนึกของเธอคิดไปว่าเฉียวฉีจะต่อสู้กับตน ดังนั้นจึงได้ถอยหลังออกไปทำท่าทางระแวดระวัง “อะไร?”
สีหน้าของเฉียวฉีมองไปยังเธอโดยไม่ได้รู้สึกอะไรและพูดว่า “คุณบอกว่าฉันขโมยสร้อยคุณไปไม่ใช่รึไง? ถ้าอย่างนั้นคุณก็เข้ามาค้นหาเอาเองสิ ถ้าหาเจอคุณเอาคืนไป”
เมื่อพูดจบเธอก็นั่งลงที่บนโซฟา และขี้เกียจแม้แต่จะชายตาไปมองหล่อน
ขณะนี้ หลินเยว่เอ๋อร์รู้สึกลังเลเล็กน้อย
เนื่องจากสร้อยเส้นที่เธอทำหายไปนั้น นับตั้งแต่เมื่อวานที่เธอออกไปตีกอล์ฟกับกู้ซือเฉียน เมื่อกลับมาก็หาไม่เจอแล้ว
และสร้อยเส้นนั้นเธอสวมมันอยู่ที่คอตลอด แต่ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร ไม่เช่นนั้นตอนที่เธอถูกแฟนเก่าขายให้กับพวกค้ามนุษย์ คนเหล่านั้นเห็นเข้าคงจะไม่เอาเธอไว้แน่
เพียงแต่ว่าสร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้เพียงชิ้นเดียว เธอจึงหวงแหนมันมาก
เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของหลินเยว่เอ๋อร์ ที่มองไปยังเธอ ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
เนื่องจากท่าทีของเฉียวฉีค่อนข้างจะเปิดเผย และดูไม่เห็นมีกลิ่นอายของความไม่ซื่อตรงหรือเงาอันชั่วร้ายอยู่เลย
หลินเยว่เอ๋อร์ก็เก็บกดเอาไว้เป็นเวลานาน ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามาก
เพียงแต่สร้อยคอเส้นนั้นสำคัญกับเธอมากจริงๆ คนรับใช้รอบข้างไม่น่าจะมีโอกาสหยิบไปได้ ต่อให้พวกเขาจะหยิบไป เครื่องประดับมากมายล้ำค่าที่ลุงโอจัดเตรียมเอาไว้ให้เธอก็ไม่ได้หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว ยกเว้นแต่ชิ้นนี้
เห็นได้ชัดว่าคนที่ขโมยสิ่งของชิ้นนี้ไปนั้นไม่ได้ต้องการเงิน
ถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน ก็คงเป็นเพราะเพื่อต้องการระบายความโกรธเท่านั้น
ในคฤหาสน์หลังนี้ คนที่มีปัญหากับเธอมาก่อนนอกจากลุงโอแล้ว ก็คือเฉียวฉีนี่แหละ
แต่ลุงโอเป็นคนดีและมีการศึกษาระดับนั้น ประกอบกับวัยวุฒิมากกว่าและเป็นผู้ชาย เขาคงไม่คิดใช้แผนการต่ำๆแบบนี้จัดการเธอ