เช่นนั้นเหลือเพียงคนเดียวก็คือเฉียวฉีนั่นเอง
ดังนั้น หลินเยว่เอ๋อร์ไม่พูดอะไรมากก็ตรงเข้ามาทวงสิ่งของคืน
แต่ดูจากท่าทีของหล่อนตอนนี้แล้ว ดูเหมือนไม่กลัวการที่จะถูกเธอเข้าไปรื้อค้นในบ้านเลย หรือหล่อนไม่ได้เป็นคนเอาไปกันแน่นะ?
ความคิดของหลินเยว่เอ๋อร์วนไปวนมา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในเมื่อเธอเดินทางมาก็จะให้เสียประโยชน์เปล่าๆไปไม่ได้
ดังนั้นจึงได้ กัดฟันพูดขึ้นว่า “ค้นก็ค้นสิ เชอะ!”
เมื่อพูดจบเธอก็พาคนรับใช้เสี่ยวถาวเข้าไปด้านในห้อง
ตลอดการค้นหา ทั้งสองคนพยายามหาทุกซอกทุกมุม พวกเธอรื้อห้องของเฉียวฉี โดยเจ้าของห้องนั่งอยู่บนโซฟาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเข้าหากันสักเล็กน้อย
แต่คนรับใช้ส่วนตัวของหล่อนเสี่ยวเยว่ ขณะที่นำน้ำชาเดินขึ้นมาเสิร์ฟก็ได้เห็นภาพตรงหน้า เธอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“คุณเฉียวคะ พวกเธอพวกเธอทำอะไรกันอยู่เนี่ย?”
เสี่ยวเยว่รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
แต่เฉียวฉียังคงนิ่งเงียบดุจขุนเขา เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “เสี่ยวเยว่ ไม่ต้องเข้าไปห้ามพวกเธอหรอก ปล่อยให้หากันไปเถอะ”
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นดังนั้น แม้ในใจของเธอจะไม่พอใจมากแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เนื่องจากห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก ประกอบกับเฉียวฉีไม่ชอบให้มีสิ่งของรกห้องมากมาย ดังนั้นการตกแต่งห้องจึงเรียบง่าย ค้นหาได้ไม่ยาก
ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีทั้งห้องก็ถูกหาจนหมดสิ้น
สีหน้าของหลินเยว่เอ๋อร์ไม่น่ามองนัก เธอจ้องไปยังเฉียวฉีที่นั่งอยู่บนโซฟา และไม่ชายตามามองตนแม้แต่น้อย ในใจของเธอก็ร้อนระอุด้วยความโมโห ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวเช่นกัน
เฉียวฉีเงยหน้าขึ้น
สายตาของเธอมองไปด้วยความเยือกเย็นสงบ ถามขึ้นว่า “คุณหลินคะ หาเสร็จแล้วเหรอ? พบสร้อยที่คุณทำหายไปมั้ยล่ะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากกรอดๆ
เธอพูดออกมาอย่างดื้อรั้นว่า “ต่อให้ในห้องนี้ไม่มีของอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเอาไปไม่ใช่คุณ ดีไม่ดีบางทีอาจจะซ่อนไว้ที่อื่นก็ได้?”
เฉียวฉีเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
หลินเยว่เอ๋อร์ชะงักลง
เมื่อพบว่าหล่อนไม่ได้ทำท่าทางโมโหอย่างที่ตนคิดเอาไว้ แม้แต่อารมณ์โกรธก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
หล่อนเพียงนั่งมองอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ และพูดออกมาว่า “ถ้าคุณพูดอย่างนี้ แสดงว่าหาไม่ว่าอย่างไรก็ตามคุณคงจะโทษว่าฉันขโมยให้ได้สินะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์สำลัก
เมื่อถูกสายตาอันเยือกเย็นของหล่อนมองมา ในใจของเธอก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย
แต่ตอนนี้เธออยู่บนหลังเสือจะให้ลงมาก็คงยาก และเธอไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ในวันนี้เธอจะต้องใส่ร้ายผู้หญิงคนนี้ให้ได้
แทนที่เธอจะถอยออกไปเสียตอนนี้ สู้ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้นและไล่เธอออกไปจากที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ
เมื่อคิดได้ดังนั้น แผนการอันชั่วร้ายก็แวบเข้ามาในดวงตาของเธอ
เธอมองไปยังเฉียวฉี และเยาะเย้ยขึ้นว่า “แท้จริงแล้วฉันต้องการจะหาเรื่องคุณ หรือตัวคุณเองรู้สึกผิดลึกๆในใจ ทุกคนก็รู้ดี เฉียวฉี ฉันขอบอกกับคุณตามตรงว่า สร้อยเส้นนั้นเป็นซอยที่แม่ของฉันทิ้งเอาไว้ให้ และมันสำคัญกับฉันมากๆ ถ้าคุณเอามันไปจริงๆละก็ขอให้น้ำออกมาคืนฉันแต่โดยดีเถอะ ไม่อย่างนั้น……”
“ไม่อย่างนั้นคุณจะทำอะไรฉัน?”
เฉียวฉีพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา และดูน่ากลัวบ่งบอกถึงอันตรายเล็กน้อย
แต่ว่าหลินเยว่เอ๋อร์กลับฟังไม่ออก
เธอยังคงพูดต่อไปอย่างเย่อหยิ่งว่า “ไม่อย่างนั้นฉันจะให้กู้ซือเฉียนขับไล่คุณออกไปจากที่นี่ซะ! คอยดูเถอะว่าฉันจะทำจริงหรือเปล่า!”
“เหอะๆ!”
เฉียวฉีหัวเราะขึ้น
เสียงหัวเราะของเธอบางเบา และดูเหมือนจะเกลียดชังเล็กน้อย แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ทำให้หลินเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้า รู้สึกได้ใจ ราวกับว่าหากเธอเพียงบดขยี้เล็กน้อยอีกฝ่ายหนึ่งก็ตายได้ง่ายๆ
เฉียวฉีจึงพูดออกมาว่า “หลินเยว่เอ๋อร์ ที่จริงฉันชื่นชมคุณมากทีเดียวนะ”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกตะลึงทันที
เธอขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
เธอไม่รู้ว่าจู่ๆเฉียวฉีพูดออกมาแบบนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
เฉียวฉีจึงพูดต่อไปว่า “คุณรู้หรือเปล่า? เวลาที่ฉันมองคุณ ฉันรู้สึกเหมือนมองคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เอาแต่กระโดดโลดเต้นอยู่ต่อหน้าฉัน ทุกครั้งที่ฉันอารมณ์ไม่ดีและมองเห็นคุณ ฉันก็รู้สึกว่าปัญหาทุกอย่างไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เนื่องจากใครบางคนที่มีสมองโง่ยิ่งกว่าหมูหมา ก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างดี แล้วทำไมฉันจะมีชีวิตดีบ้างไม่ได้?”
ในครั้งนี้หลินเยว่เอ๋อร์ฟังเข้าใจโดยถ่องแท้
สีหน้าของเธอดูแย่มาก
เธอกัดฟันกรอดหน้าดำคร่ำเครียด “เฉียวฉี! แก แกกล้าเหรอ……!”
“ทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะ?”
เฉียวฉีลุกขึ้นยืน
ความสูงของเธอนั้นสูงกว่าหลินเยว่เอ๋อร์ประมาณห้าหกเซนต์ติเมตรได้ เมื่อยืนขึ้นมาแบบนี้ทำให้รู้สึกเธอดูสูงขึ้นไปอีก แม้มองจากสายตาจะรู้สึกว่าทั้งสองตัวเท่ากัน แต่ก็รู้สึกว่าออร่าของเธอนั้นสูงกว่า ใครที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนต้องพากันหวาดกลัว
เธอเดินเข้ามาทีละก้าว ทีละก้าว และพูดกับหลินเยว่เอ๋อร์ว่า “แต่ไหนแต่ไรมาฉันเชื่อในหลักการโดยตลอด ใครไม่ทำให้ฉันขุ่นเคืองใจฉันก็จะไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง แต่คุณกลับมายั่วยุฉันครั้งแล้วครั้งเล่า และตอนนี้คุณกลับมาใส่ร้ายป้ายสีฉัน คุณคิดว่าฉันกินหญ้าหรืออย่างไร? ให้คุณสาดน้ำสกปรกใส่ได้ตามใจชอบอย่างงั้นเหรอ?”
ออร่าในร่างกายเธอแผ่ออกมาทำให้หลินเยว่เอ๋อร์ตกตะลึง เธอตัวสั่นและถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง
จากนั้นจึงกลืนน้ำลายและพูดอย่างติดขัดว่า “แก แกคิดจะทำอะไร?”
เฉียวฉีหัวเราะเย้ยหยัน
ขณะนี้ หลินเยว่เอ๋อร์ถูกเธอบีบบังคับให้จนมุมแล้ว
มือข้างหนึ่งของเธอยกขึ้น และยื่นไปแตะผนังบริเวณศีรษะด้านขวาของหล่อน เธอโค้งตัวลงไปเล็กน้อย ดวงตาแหลมคมนั้นมองไปในดวงตาของหล่อน
ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ถึงขนาดที่ว่าหลินเยว่เอ๋อร์สามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันเยือกเย็นของเฉียวฉีเลยทีเดียว
ลมหายใจของผู้หญิงคนนี้ช่างเยือกเย็นเหลือเกิน เธอไม่ใช่คนธรรมดาแน่!
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นในสมองของเธอ และวินาทีต่อมา เธอก็รู้สึกเจ็บบริเวณหู ไม่รู้ว่าเฉียวฉีหยิบกริชสั้นออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างไร เธอนำกริชเล่มนั้นกรีดไปที่หูของหล่อนเบาๆ
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจเสียจนหน้าซีดเผือด เธอรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อขยับไปไหนไม่ได้
แม้แต่ปากก็ยังสั่น
“แก แก แกต้องการอะไร?”
เฉียวฉีหัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็น
จากนั้นเป่าล้มไปบริเวณข้างหูของหล่อน
น้ำเสียงของเธออ่อนโยนจนดูไม่เหมือนกับคุกคาม แต่กำลังพูดอะไรบางอย่างที่ไพเราะเสนาะหู
แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันก็ยังทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกสะพรึงกลัว เฉกเช่นเดียวกับงูพิษที่น่ากลัว เลื้อยขึ้นไปบริเวณหลังใบหู ทำเอาขนลุกขนพอง
เธอได้ยินเฉียวฉีพูดออกมาเบาๆว่า “คุณเดาดูสิ ครั้งก่อนที่มีคนใส่ร้ายป้ายสีและต้องการหาเรื่องฉันแบบนี้ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ไหนกันนะ?”
ในใจของหลินเยว่เอ๋อร์คิดว่าเธอและหล่อนรู้จักกันมาไม่นาน เธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ใส่ร้ายป้ายสีหล่อนเป็นอย่างไรตอนนี้?
แต่ดูเหมือนว่าเฉียวฉีจะไม่ได้ต้องการให้เธอตอบออกมา
หล่อนกลับพูดเบาๆว่า “เธอตายแล้ว ถูกฉันใช้กริชเล่มนี้กรีดลงไปบนหนัง หน้า ร่างกาย ขา จำนวนเก้าสิบเอ็ดแผล และที่สุดท้ายคือการตัดหลอดเลือดใหญ่ของเธอจนเสียชีวิต”
ใบหน้าของหลินเยว่เอ๋อร์ซีดราวกับกระดาษ
เธอรู้สึกว่าความเจ็บปวดของมีด กำลังกรีดลงไปที่เนื้อของเธอ
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเหมือนปีศาจที่เพิ่งคลานออกมาจากนรก
น้ำเสียงของหลินเยว่เอ๋อร์ฟังดูสั่นเทา “แก แกกล้าเหรอ….. ถ้าแกกล้าแตะต้องฉันล่ะก็ กู้ซือเฉียนจะต้องไม่เอาเธอไว้แน่”
เฉียวฉีหัวเราะเย้ยหยัน
“อ๋อ อย่างงั้นเหรอคะ? ถ้าฉันไม่เชื่อแล้วจะทำยังไงล่ะ? พวกเรามาลองดูกันไหม? ดูซิว่าถ้าคุณตายไปเขาจะแก้แค้นให้คุณหรือเปล่า?”