ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายหนึ่ง
ในห้องหนังสือของเรือนใหญ่
กู้ซือเฉียนกำลังดำเนินการประชุมทางโทรศัพท์อยู่
เนื้อหาการประชุมไม่ได้เกี่ยวกับเขาที่นี่ แต่เกี่ยวข้องกับกู้ซื่อกรุ๊ปในเมืองหลวง
แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยู่ในประเทศ แต่กู้ซื่อกรุ๊ปก็มีเรื่องราวมากมาย ที่ยังต้องการให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ควบคุมและบอกทิศทางความคิดเห็นที่ถูกต้อง
ดังนั้น ที่จริงแล้วกู้ซือเฉียนยุ่งมากเลยทีเดียว
เมื่อประตูถูกเคาะขึ้นจากข้างนอก เขาก็ตะโกนบอกให้เข้ามา เมื่อเงยหน้าดูจึงพบว่าเป็นหลินซง ดวงตาของเขาขยับเล็กน้อย และกล่าวอะไรบางอย่างกับผู้อาวุโสในวิดีโอคอลก่อนจะประกาศว่าการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว และปิดคอมพิวเตอร์
“คุยกับเธอแล้วหรือยัง?”
เขาไม่อ้อมค้อมอะไรแต่พูดออกมาตรงประเด็น
หลินซงพยักหน้า
กู้ซือเฉียนเลิกคิ้วขึ้น
มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบแล้วถามว่า “เธอไม่เห็นด้วยเหรอ?”
หลินซงพยักหน้าอีกครั้ง
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็อดทนไว้ไม่ไหวเงยหน้ามอง และพูดออกมาด้วยความขุ่นเคืองว่า “ในเมื่อรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วตอนนั้นทำไมกัน? ตอนนั้นที่พวกเราคอยตักเตือนคุณทำไมคุณไม่ฟัง จะต้องส่งเธอเข้าคุกไปให้ได้ ตอนนี้หัวใจเธอไม่อยู่กับคุณแล้ว แต่คุณก็พยายามจะเอาเธอไว้ข้างกาย ซือเฉียน คิดอะไรอยู่ในใจกันแน่?”
กู้ซือเฉียนนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลินซงรู้สึกหงุดหงิด กับเพื่อนที่เข้าใจยากคนนี้จริงๆ อารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ปรากฏขึ้นในหัวใจลึกๆของเขา
เขาเดินมาที่ตรงโซฟาและนั่งลง ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างมาหนุนไว้ข้างแก้ม
และบ่นออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ว่ากันว่าหัวใจผู้หญิงมีพิษมากที่สุด แต่ผมว่าที่นี่ สำหรับคุณแล้วหัวใจของผู้ชายถึงจะอันตรายที่สุด! อย่าว่าแต่เฉียวฉีเลย ต่อให้เป็นผม ผมเป็นลูกผู้ชายแมนๆและเป็นเหมือนพี่น้องของคุณ แต่ถ้าคุณส่งผมเข้าคุกไปแบบเฉียวฉี จัดการกับผมแบบนั้น ผมก็ไม่ยอมรับหรอก”
กู้ซือเฉียนมองไปที่เขา
เมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธนี้ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเงียบ
และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “เธอพูดว่ายังไงบ้าง?”
หลินซงหัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็น
“จะพูดว่ายังไงได้อีกล่ะ? เธอพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า อย่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต ให้คุณตัดใจซะเถอะ! อย่าไปตามรังควานเธออีกเลย”
มุมปากของกู้ซือเฉียนเผลอขึ้นเป็นเส้นโค้งอย่างเยือกเย็น
ราวกับกำลังเยาะเย้ย แต่ก็ดูเหมือนจะดื้อรั้น มันอธิบายไม่ถูก
เขาพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ใจเด็ดดีนี่”
ท่าทางของเขา ทำให้หลินซงแทบสำลัก ในใจของ หลินซงทั้งโมโหและเป็นกังวลพูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “ผมว่าคุณไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา! เฉียวฉีเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดไหนกัน แต่กลับถูกคุณทำร้ายแบบนี้ การที่เธอไม่ยอมหันหลังกลับมาก็ถูกแล้ว! คิดว่าทุกคนจะต้องตามใจคุณหมดรึไง?”
กู้ซือเฉียนได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่ได้โกรธอะไร
เพียงแต่หันไปเหลือบไปมองแผ่วเบาแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรก็ไปได้แล้ว”
หลินซง “……”
ดวงตาคู่นั้นจ้องไปที่เขา จนแทบจะพรุนไปทั้งตัวแล้ว
“ก็ได้ ผมเองก็มองออกแล้วเหมือนกัน เวลาที่คุณต้องการผมถึงจะเรียกผมมาช่วย ตอนนี้ผมเสร็จธุระไม่มีประโยชน์แล้วนี่ โอเค งั้นผมจะไม่อยู่ขัดหูขัดตาที่นี่แล้ว ไปละ!”
เมื่อพูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินตรงออกไปข้างนอก
กู้ซือเฉียนยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและมองร่างของเขาที่เดินจากไป ดวงตาคู่นั้นมืดมนลง
ตอนบ่ายเฉียวฉีได้เดินทางมาหาเขา
ขณะนั้น กู้ซือเฉียนกำลังจะเตรียมตัวนอนกลางวันแต่เมื่อได้ยินว่าเธอมาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เขารีบลุกขึ้นและให้ลุงโอพาเธอเข้ามา
วันนี้หญิงสาวสวมชุดลำลองสีฟ้าอ่อน เธอยังคงดูกล้าหาญและเฉลียวฉลาดดังเดิม ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ และบริเวณ คิ้วนั้นยังคงเป็นดวงตาที่เขาคุ้นเคยดี
กู้ซือเฉียนอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง
ที่จริงไม่ต้องคิด เขาก็รู้ว่าเธอมาเพื่ออะไร แต่อารมณ์ของเขาก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาไว้
อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีวันนี้ ช่องว่างระหว่างทั้งสองคน ไม่อาจเติมเต็มได้ง่าย
แม้ว่าเขาจะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะเห็นแก่ความรู้สึกเก่าๆ แล้วลืมทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไป กลับมาอยู่ข้างกายเขาดังเดิม แต่เขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงความหวัง ที่ไม่มีวันเป็นจริง
กู้ซือเฉียนนั่งอยู่กับที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เฉียวฉีเดินมาหยุดตรงหน้าเขา เธอหยุดฝีเท้าลงมองดูเขาและพูดว่า “ฉันจะไปแล้ว”
มือของเขาที่จับปากกาเอาไว้ ชะงักลงเล็กน้อย ใบหน้านิ่งเงียบน้ำเสียงต่ำทุ้ม
“ไม่อยากอยู่ต่อจริงๆเหรอ?”
เฉียวฉี นิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะยิ้มขึ้น
“ฉันทำไม่ได้”
คำพูดเพียงสี่คำ บ่งบอกถึงความสิ้นหวังและโศกเศร้าในใจของเธอ และมีความขุ่นเคืองที่ถูกระงับเอาไว้
กู้ซือเฉียนเองก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทั้งสองคนตกอยู่ในความนิ่งเงียบ คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน ราวกับเวลาได้หยุดลงชั่วนิรันดร์
ผ่านไปสักพัก เขาจึงได้พูดออกมาเบาๆว่า
“อืม”
หลังจากที่เขาพูดคำนี้ออกมาแล้ว กู้ซือเฉียนก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเสียงของเขายังคงลอยก้องอยู่
เขาพูดออกมาเบาๆว่า “ถ้าคุณออกไปแล้ว ระวังตัวเองด้วย กลุ่มชาวจีน……”
เขาหยุดชะงักลง และกำชับออกมาอย่างไม่วางใจว่า “หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่หยุดการกระทำลง เมื่อรู้ว่าคุณออกมาแล้ว พอเขาน่าจะมาหาคุณ”
“ฉันไม่กลัว”
เฉียวฉีไม่แม้แต่จะครุ่นคิด เธอก็พูดเรื่องนี้ออกมาและยิ้มขึ้น
“ฉันรอให้พวกเขามาหาอยู่!”
ในปีนั้น ฆาตกรที่ฆ่าพี่น้องของเธอได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อยั่วยุให้เกิดความบาดหมางขึ้น และทำให้เธอกลายเป็นผู้รับผิด ต่อให้คนเหล่านั้นไม่มาหาเธอ เธอก็ไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆแน่
อีกอย่าง เดิมทีคนพวกนั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มหงส์แดงและกลุ่มมังกร หลังจากนั้นทุกคนหักหลังเธอและไปเข้าร่วมกับกลุ่มชาวจีน
พวกเขาวางแผนนี้ขึ้นมา และเล่นละครตบตาทุกคน
เธอมองเห็นพวกเขาเป็นคนสำคัญ แต่พวกเขากลับใช้เธอหลอกใช้เธอ จัดการกับเธอ และผลักเธอไปสู่เส้นทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ
ดวงตาของเฉียวฉี เยือกเย็นลง ดูเหมือนจะสัมผัสได้ กู้ซือเฉียนจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองดูเธอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “คุณตัวคนเดียว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา อย่าทำอะไรโดยพลการ”
เฉียวฉีเลิกคิ้วขึ้น
เธอหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณวางใจเถอะค่ะ กว่าฉันจะได้ชีวิตนี้กลับคืนมาไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่คิดจะเอาตัวเองมอบให้กับความตายอีก”
คำพูดของเธอประโยคนี้ ทำให้กู้ซือเฉียนวางใจลงไม่น้อย แต่เมื่อเธอพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
ทั้งสองคนนิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่เฉียวฉีจะเอ่ยปากพูดว่า “ฉันไปละค่ะ”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า
เธอหันหลังและเดินออกไป
อีกหลายปีต่อมา เมื่อพวกเขาทั้งสองแก่ชราลงและหวนคิดถึงเรื่องในวันนี้ คงจะรู้สึกเพียงว่าในใจของทั้งสองคนนั้นช่าง สงบนิ่งอย่างน่าแปลก เป็นเพียงยามบ่ายที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่หลังจากที่หวนระลึกถึงอีกที จึงได้รู้ว่า วินาทีนั้นแม้ว่าร่างกายของทั้งสองคนจะแยกจากกัน แต่ใจของพวกเขาได้เชื่อมต่อกันใหม่อีกครั้งแล้ว
บนโลกนี้ คำว่ามีกันและกันไม่ได้หมายความว่าจะต้องจับมือกันไว้ไม่ปล่อย
ในบางครั้ง การที่ปล่อยมืออย่างเหมาะสม อาจทำให้ทั้งสองคนได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ
หลังจากที่เฉียวฉี ออกมาจากที่นั่น ก็ไม่ได้เดินทางไปหาถังชีชี
เธอเพียงแค่โทรศัพท์หาถังชีชีและนัดออกมาพบเท่านั้น
พอดีกับจังหวะที่ถังชีชีเพิ่งลาออกจากงานในวันนี้ เดิมทีจะต้องรออีกครึ่งเดือน แต่ผู้จัดการผับได้โทรมาบอกกับเธอในวันนี้ว่าหาคนใหม่ได้แล้ว ดังนั้นเธอจึงสามารถลาออกจากงานได้ก่อนกำหนด