แต่สายตานั้น ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเฉียวฉียังคงนั่งพิงอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้ม และรอยยิ้มนั้นสดใสเหมือนกับตามปกติ ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย
เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยและรู้สึกมึนงง ก่อนจะเอ่ยถามไปอย่างไม่แน่ใจว่า “พี่คะ พี่…… ไม่โกรธเหรอ?”
เฉียวฉีเลิกคิ้วขึ้น
“ทำไมฉันต้องโกรธด้วยล่ะ?”
“ฉัน……” เธอกัดริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก
เฉียวฉียิ้มขึ้น
เธอพูดเบาๆว่า “คุณเป็นห่วงฉันจากใจจริง ไม่ได้ต้องการจะกล่าวหากันสักหน่อย ความจริงใจนี้ฉันฟังออก และเข้าใจ ข้อเท็จจริงนี้”
เมื่อได้ยินเธอพูดดังนั้นถังชีชีก็รู้สึกโล่งใจ
เธอจึงรีบพูดขึ้นว่า “พี่ ถ้าพี่เข้าใจก็ดีแล้ว แล้วพี่ยังจะไปอยู่ไหม?”
เฉียวฉีพยักหน้า
เธอเงยหน้าขึ้น และรินน้ำชาใส่แก้วของตนเอง ก่อนจะเอื้อมตัวไปรินถ้วยน้ำชาให้ถังชีชี แล้วพูดว่า “ฉันจำเป็นต้องไป ชีชี ฉันบอกได้แค่ว่าฉันไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และบนโลกนี้มีบางคนติดค้างฉันเอาไว้ และฉันต้องไปเอาคืน”
“บางทีจากมุมมองของเธออาจจะรู้สึกว่า การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น แต่สำหรับคนที่ตายจากไปพวกนั้น การทำแบบนี้คือสิ่งเดียวที่จะทำเพื่อพวกเขาได้และฉันจำเป็นต้องไป”
ถังชีชีได้ยินดังนั้นสายตาของเธอก็ว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่า เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉียวฉีกำลังพูดอยู่
เฉียวฉีเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอยิ้มขึ้น และชี้ไปที่แก้วน้ำชาด้านหน้าพูดว่า “ดื่มอีกสักหน่อยสิ เดี๋ยวฉันจะส่งกลับบ้านตอนบ่าย”
ถังชีชีจึงได้ก้มหน้าลงและมองไปยังแก้วน้ำชาเธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมากลับ หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนนั่งพักอยู่สักครู่ก่อนจะเดินทางออกมาจากร้านหม้อไฟ
เฉียวฉีไม่ได้ขับรถมา และชีชีก็เป็นเพียงแค่ พนักงานสาวธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าเธอคงไม่มีรถ
ดังนั้นทั้งสองคนจึงยืนโบกรถอยู่ข้างทาง
ในขณะที่กำลังยืนรอรถนั้น มองซ้ายมองขวาก็น่าเบื่อทั้งสองคนจึงได้สนทนากันอีกสักเล็กน้อย
จากคำพูดที่ได้สนทนากันในร้านเมื่อสักครู่ ถังชีชีรู้ว่า เธอไม่มีอำนาจพอที่จะไปเปลี่ยนการตัดสินใจของเฉียวฉี
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตักเตือนหล่อนอีก แต่กลับสนทนากับหล่อนเกี่ยวกับแผนการในการดำรงชีวิตต่อไปของเธอ
ในมือของถังชีชีมีเงินจำนวนหนึ่งแสนหยวนจากทีเฉียวฉีให้เธอไว้ครั้งที่แล้ว เธอจึงตั้งใจว่าจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าเป็นของตัวเองสักร้าน
ตอนนี้ผลกระทบของอีคอมเมิร์ซทำให้ธุรกิจของร้านค้าทั่วไปไม่ได้ง่ายนักที่จะทำ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะเช่าร้านเล็กๆราคาถูก จำนวนลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ที่สำคัญก็คือจะต้องมีห้องโชว์สินค้าเป็นของตัวเอง และเน้นการขายออนไลน์เป็นหลัก
ก่อนหน้านี้ถังชีชีสนใจเรื่องแฟชั่นมาก หลังจากสำเร็จการศึกษาเธอก็ไม่ได้เรียนต่อ แต่ก็ยังคงศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ เรื่องนี้เสมอมา
ในวันนี้ แม้ว่าไม่อาจเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญดีไซเนอร์เครื่องเเต่งกายต่างๆ แต่เธอก็สามารถตัดเสื้อผ้าได้ด้วยตัวเอง
เธอมีความใฝ่ฝันอยากจะสร้างแบรนด์อิสระของตัวเองมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้ก็เคยพูดกับเฉียวฉีเอาไว้ ตอนนี้เธอมีโอกาสแล้วและแน่นอนว่าเธอจะต้องพยายามสู้สักหน่อย
อันดับแรกเธอจะต้องออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นออกมาก่อนและแขวนขายบนอินเทอร์เน็ต ส่วนในร้านก็ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เพื่อให้ลูกค้าและเข้ามาทดลองสวมใส่ได้ หรือเข้ามาชมก็ยังได้ เป็นเหมือนกับสตูดิโอออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งเสื้อผ้าสามารถทดลองใส่ได้หลังจากนั้นเธอจะค่อยๆสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นช้าๆ
เฉียวฉีไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้มากนัก แต่จากที่ฟังเธอพูดก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผลเป็นระเบียบมาก
เธอหันหลังไปมองดูหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความใฝ่ฝันนี้ ดวงตาของเธอเป็นประกาย มีแสงบางอย่างออกมามันเป็นพลังความหวังที่ไร้ขอบเขต ทำให้คนดูรู้สึกมีอารมณ์คล้อยตามไปด้วย
เฉียวฉีคิดอยู่ในใจว่าเป็นอย่างนี้ดีจริงๆ
ใครบอกว่าอยู่ตัวคนเดียวใช้ชีวิตธรรมดาเรียบง่ายแล้วไม่ดีล่ะ?
ชีวิตของคนเรา มีความฝัน มีงานให้ทำ มีคนที่เรารักและรักเรา
นั่นคือสิ่งที่คนคนหนึ่งใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ?
ริมฝีปากของเธอเผยอขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้าให้กำลังใจว่า “ฟังที่เธอพูดดูเหมือนไม่เลวเลย ฉันเชื่อว่าเธอจะทำตามความฝันตัวเองได้อย่างแน่นอน”
ใบหน้าของถังชีชีเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความตื่นเต้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันจะต้องทำให้ได้ค่ะ!”
ทั้งสองคนพากันยิ้ม และทันใดนั้นเองก็มีรถสีดำจอดอยู่ข้างถนนใต้เงาของต้นไม้ไม่ไกลนักมองดูหญิงสาวทั้งสองคนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาก็มืดมนลง
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ถ่ายรูปของพวกเธอและส่งออกไป
ต่อจากนั้นก็ต่อสายไปยังอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ใช่เธอไหม?”
อีกฝ่ายหนึ่ง ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ใช่”
“ครับ”
“หลังจัดการเรียบร้อยแล้ว ฉันจะโอนเงินไปที่บัญชีของตระกูล วางใจได้”
ชายคนนั้นนิ่งเงียบไปก่อนจะตอบอย่างหนักแน่นว่า “ได้”
เมื่อพูดจบก็วางสายลง
เขากำพวงมาลัยเอาไว้แน่นและมองไปยังร่างที่อยู่ห่างออกไป ก่อนจะเม้มฝีปากของตัวเองขึ้นด้วยความเย็นชาและโหดร้าย
หลังจากนั้นก็เหยียบคันเร่งไปยังทิศทางที่ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่
ทางด้านของเฉียวฉีและถังชีชีกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน
จู่ๆเฉียวฉีก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ มันเป็นสัญชาตญาณที่แปลกประหลาด ซึ่งเธอมีมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทุกครั้งที่กำลังเกลือกกลิ้งอยู่กับความตาย เหมือนกับเสียงระฆังปลุกหัวใจเธอให้ดังขึ้น เธอรู้สึกว่าขนทั่วร่างกายของเธอลุกขึ้นในทันที
ยังไม่ทันจะพูดอะไรมาก เธอทำได้เพียงตะโกนออกมาว่า “ระวัง”
วินาทีต่อมา เธอก็ผลักถังชีชีล้มลงที่พื้น
ทั้งสองคนกลิ้งไปบนพื้นถนน พวกเธอได้ยินเสียงเบรกอันแหลมคมดังเข้ามาในหูดูเหมือนแก้วหูจะถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ และรถที่เลี้ยวดังเอี๊ยดอ๊าด ขับพุ่งมายังพวกเธอทั้งสองคน
ถังชีชียังไม่ทันได้สติกลับคืนมา เธอรู้แต่ว่าร่างกายของเธอนั้นถูกเฉียวฉีผลักให้ล้มลงและกลิ้งไปอย่างเจ็บปวด ในสมองของเธอได้ยินเพียงเสียงดังหึ่งหึ่ง
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าข้อมือของเธอแน่นขึ้น มีคนดึงเธอจากข้างๆ ล้อรถเฉียดไปกับร่างกายเธอเพียงเสี้ยวหนึ่ง ห่างไปประมาณหนึ่งเซนติเมตรก็คงจะทับร่างของเธอแล้ว
ตอนนี้เธอตกใจเสียจนเหงื่อตกเย็นยะเยือก
เมื่อเธอได้สติกลับคืนมาสีหน้าก็ซีดเผือดและรีบมองขึ้นไปด้านหน้า
เธอเห็นรถโฟล์คสวาเกนสีดำคันหนึ่ง เลี้ยวกลับมาและพุ่งชนไปทางนั้นอีกครั้ง
“พี่!”
“หลบไป!”
เนื่องจากความเร็วของรถค่อนข้างสูง จึงทำให้เฉียวฉี มีเวลาเพียงพอแค่ผลักถังชีชี ที่กำลังยืนมึนงงออกไป ส่วนตัวเธอเองหลบไม่ทันจึงได้ยินเสียงดัง “โครม!” และร่างของเธอก็ถูกชนกระแทกลอยออกไป
“พี่!”
ถังชีชีตะโกนออกมาจนเสียงแหบ ร่างกายของเธอนั้นถูกกระแทกลงที่พื้น มือและขาถูกหินอันแข็งคมบนพื้นถูไถจนมีเลือดออกมากมาย แต่เธอไม่มีเวลามาสนใจและรีบวิ่งไปทางเฉียวฉีที่ถูกชนทันที
บริเวณไม่ไกลออกไปนัก เฉียวฉีกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาของเธอลืมขึ้นและเบิกตามองไปยังรถ คันที่ขับมาทางเธอ
จุดประสงค์ของเจ้าของรถนั้นชัดเจนมากนั่นก็คือเธอ เขาจะไม่ยอมแพ้ถ้าเธอไม่ตาย
สายตาของเธอเย็นยะเยือก ร่างกายที่ถูกชนเมื่อสักครู่เจ็บจนแทบจะระเบิด เธอรู้ว่าหากเธอไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวมาก่อน เมื่อสักครู่ตอนที่ถูกชนเธอคงจะ ไม่ทันจะได้หลบ และทำให้รถชนร่างของเธอเพียงแค่ครึ่งเดียว ไม่อย่างนั้นเธอคงจะกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว