ทันใดนั้นเขารู้สึกเพียงหน้ามืด คนทั้งคนก็ล้มลงอย่างอ่อนปวกเปียก
ร่างกายของเฉียวฉีถูกทิ้งลงกับพื้น
ไม่ว่าอย่างไร เธอยังคงได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสอยู่ หลังจากร่างกายร่วงถึงพื้นแล้ว ยังไม่ทันทรงตัว ก็กลิ้งลงบันไดไป
เฉียวฉีมีเวลาเพียงปกป้องส่วนหัวของเธอเท่านั้น ร่างกายนั้นกลับถูกกระแทกที่ขั้นบันไดหินอย่างแรง รู้สึกเจ็บราวกับร่างกายจะแตกกระจุยกระจาย
แต่ตอนนี้ ศัตรูอยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะเจ็บอีกครั้ง เธอก็ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว กลั้นเจ็บไว้รีบลุกขึ้น แล้ววิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง
แต่ไม่คาดคิดว่า คนกลุ่มนั้นแม้จะต่อสู้กันอยู่ แต่สายตากลับยังเล็งดูเธออยู่
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะวิ่ง ในนั้นสองคน ก็ถีบคนที่ขวางพวกเขาไว้ แล้ววิ่งไล่ตามเธอไป
เฉียวฉีในเวลานี้หมดแรงแล้ว
ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ผ่านการถูกรถชน ตกน้ำ และเวลานี้ความรู้สึกเริ่มเบลอๆแล้ว
ความเจ็บปวดที่หน้าอกและส่วนท้อง ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองคงช้ำในแล้ว การต่อต้านในเวลานี้ เป็นเพียงความมุ่งมั่นของจิตตานุภาพเท่านั้น
แต่เธอก็ไม่รู้ว่าความมุ่งมั่นนี้ จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน
สองคนข้างหลังที่ไล่ตามยิ่งตามยิ่งใกล้เข้ามา
แทบจะเพิกเฉยต่อภัยคุกคามรอบตัวทั้งหมด จำเป็นจะต้องจับเธอกลับไปให้ได้
เฉียวฉีใจหายวูบ แอบเอามีดสั้นที่ซ่อนอยู่ตรงเอวออกมา โชคดีที่ตอนนั้นคนกลุ่มนั้นเพื่อต้องการประหยัดเวลา หลังจากช่วยเธอแล้ว ก็ยังไม่ทันได้ค้นตัวเธอ
ดังนั้น สิ่งของบนตัวเธอยังอยู่
เมื่อสัมผัสกับกริชแล้ว ในใจเธอก็รู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย
รู้สึกได้ถึงแรงลมที่พัดมาจากข้างหลัง เธอไม่ต้องคิด ก็หันหลังไปแล้วกรีดไปที่สองคนนั้น
แต่ ในเวลานี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
มีคนเร็วกว่าเธอ พุ่งออกมาจากแนวทแยง ขวางสองคนนั้นไว้
คนคนนั้นหันหลังให้เธอ มือเร็วมากจนทำให้คนตาลาย แค่เพียงสองที ก็ทุบจนสองคนตรงหน้าล้มลง เตะไปคนละที ร่วงลงที่พื้น แล้วกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดที่สูงชัน
เฉียวฉีชะงักไปเล็กน้อย
วินาทีต่อมา เห็นคนคนนั้นหันกลับมาจับตัวเธอ เธอตกใจ ยกมือขึ้นได้ก็ใช้กริชฟันไปที่อีกฝ่าย ในใจรู้เพียงว่าไม่ว่าอย่างไร ถึงแม้จะต้องตายก็ไม่ให้ตัวเองตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่าย
แต่ว่า กลับเห็นคนคนนั้นท่าทางปราดเปรียวว่องไว เธอแทบจะยังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกอีกฝ่ายจับแขนไว้แล้ว
เธอตกใจกลัวมาก รู้ว่าเพราะตัวเองได้รับบาดเจ็บ ท่าทางไม่ได้รวดเร็วเหมือนปกติ
ดังนั้น ทำได้เพียงพยุงไว้อย่างสุดกำลัง แล้วยกขาเตะไปที่อีกฝ่าย
แต่อีกฝ่ายก็รับไว้ แสงแดดในตอนเที่ยงแรงจัด ทำให้เธอหน้ามืด รู้สึกเพียงทั้งวิงเวียนทั้งตาลาย ทุกอย่างล้วนใช้ความรู้สึกที่มีอยู่เพียงนิดหนึ่งพยุงไว้ก็เท่านั้น
แม้แต่รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเธอก็ยังดูไม่ชัดเจน เพียงแต่ขัดขืนเหมือนกลไกเครื่องจักร ไม่กี่กระบวนท่า ทั้งตัวก็ถูกอีกฝ่ายควบคุมไว้แล้ว
แล้วเธอก็ใช้แรงเอาหัวไปชนอีกฝ่าย และในเวลานี้ เธอก็ได้ยินเสียงเคร่งขรึมที่คุ้นเคย
“พอแล้ว เฉียวฉี ผมเอง”
เฉียวฉีชะงักไป
ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
เธอเงยหน้าขึ้น มองดูชายเฉยเมยที่รูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้า แสงแดดส่องลอดผ่านช่องว่างของใบไม้บนเหนือศีรษะลงมา ทำให้ตาเธอลาย แต่กลับทำให้เธอมองเห็นใบหน้าและโครงหน้าของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน
“กู้ซือเฉียนหรือ”
ทำไมคุณอยู่ที่นี่
ประโยคข้างหลัง เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม
รู้สึกเพียงหน้ามืด พยุงไว้ไม่ไหวอีกแล้ว ก็สลบไป
กู้ซือเฉียนพาคนกลับไปที่ปราสาททันที
ยังมีคนร้ายหลายคนที่ลักพาตัวเธอมาถูกพากลับไปพร้อมกับเธอด้วย
พวกเขามีกันทั้งหมดหกคน ตายไปสองคน ส่วนคนที่เหลือ ได้รับคำสั่งจากเขา ต้องจับเป็นกลับไปทั้งหมด ตอนนี้ได้ถูกคุมขังอยู่ในปราสาท จัดคนเฝ้าดูไว้แล้ว ขอเพียงรอให้เขามีเวลาไป ก็สามารถสอบสวนได้ทันที
เฉียวฉีตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด
เจ็บไปทั้งตัว เหมือนกับถูกรถสิบล้อหลายคันทับ และก็เหมือนกับถูกคนแยกกระดูกออกจากกัน แล้วประกอบใส่เข้าไปใหม่อีกรอบ
เธอลืมตาขึ้น เห็นเพดานที่ขาวสะอาด
บนศีรษะมีโคมไฟระย้าที่สวยงามวิจิตรตระการตาแกว่งไปมาอยู่ตรงหน้า ทั้งรู้สึกมีความคุ้นเคย และก็แปลกเล็กน้อย
ความรู้สึกนึกคิดก่อนจะสลบไปวิ่งเข้ามาในหัวสมอง เธอเอียงหัวเล็กน้อย ตามคาด ก็เห็นเงาของคนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น
เวลานี้ เป็นเวลาตอนเที่ยงของวันที่สองแล้ว
เธอสลบไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเต็มๆ จากการตรวจเช็ดของหมอ พบว่านอกจากรอยฟกช้ำบนศีรษะแล้ว เธอยังมีอาการบาดเจ็บที่กระดูกหลายจุดในร่างกาย เส้นเอ็นเท้าก็ฉีกขาดเล็กน้อย ส่วนอื่นนั้นไม่เป็นอะไรมาก
อาการบาดเจ็บถือว่าไม่หนัก แต่ก็ไม่เบาเช่นกัน
เธอเพียงแค่ขยับเบาๆ ก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว แล้วอดไม่ได้“ซี้ด”ร้องออกมาเบาๆ
เมื่อกู้ซือเฉียนได้ยินเสียงก็หันหน้ากลับมา
แสงแดดข้างนอกดีมาก ถึงแม้เปิดผ้าม่านหน้าต่างออกแล้ว แต่ผ้ารองซับสีขาวบางระหว่างกลางยังไม่ได้เปิดออก
ดังนั้น เมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านผ้าบางสีขาวเข้ามา ก็จะทำให้รู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน และเมื่อสาดส่องผ่านตัวชาย ก็นำพากลิ่นความแข็งกระด้างของเขาให้อ่อนโยนลงไปเล็กน้อย
เขาเดินเข้ามา ยืนมองดูเธออยู่ตรงหัวเตียง แล้วถามว่า“ตื่นแล้วหรือ”
เฉียวฉีพยักหน้า
เมื่อเห็นเขาอีกครั้ง ในใจเธอสับสนยิ่งนัก
ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่เคยคิดว่า ตัวเองวกวนไปมา สุดท้ายก็กลับมาอยู่ในมือของเขา
น่าจะคิดเหมือนเธอ กู้ซือเฉียนกระตุกมุมปากยิ้มเย้ยหยันอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “รู้จักกลุ่มคนที่ลักพาตัวคุณไหมว่าเป็นใคร”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
แล้วส่ายหัว
กู้ซือเฉียนโยนเอกสารหนึ่งกองลงตรงหน้าเธอ
“นี่คือข้อมูลที่ผมใช้เวลาทั้งคืนสอบสวนได้มา คุณดูเอาเอง”
เฉียวฉีชะงักไป
ยกมือขึ้นไปเก็บเอกสารพวกนั้น
ที่แขนของเธอก็มีแผลถลอกมากมาย ซึ่งเกิดจากตอนนั้นที่เธอฟุบบนหัวรถ เพื่อจะควบคุมรถให้อยู่
เวลานี้ สองแขนของเธอรวมทั้งฝ่ามือถูกผ้าพันแผลหนาๆพันไว้ ดูไปแล้วก็เหมือนอุ้มตีนหมี ช่างตลกสิ้นดี
สภาพเช่นนี้ จะพลิกกระดาษแผ่นบางๆออกนั้น ย่อมเป็นเรื่องยากมากอยู่แล้ว
ดังนั้น ถึงแม้เธอจะดึงเอกสารมาแล้ว พยายามอยู่ครึ่งวันก็เปิดไม่ออก
กู้ซือเฉียนก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นเช่นนี้ ชะงักไปเล็กน้อย และเดินเข้าไปอย่างรู้สึกตลกเล็กน้อย นำเอกสารมาช่วยเธอเปิดออก แล้ววางลงตรงหน้าเธอ
เฉียวฉีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
แต่ในเวลานี้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาที่จะมารักษาหน้าตา จึงเริ่มดูจากหน้าที่เขาเปิดออกให้
กู้ซือเฉียนสังเกตดูแววตาของเธออยู่ตลอดเวลา รอเธอดูจบหนึ่งหน้า ก็ช่วยเธอเปิดอีกหนึ่งหน้า
จากการช่วยเหลือของเขาเช่นนี้ ทำให้เฉียวฉีดูเอกสารทั้งหมดจนจบ
ในใจเธอคิดหนัก
เธอไม่เคยคิดเลยว่า คนเหล่านั้นที่เธอนับถือเป็นพี่น้องในตอนนั้น กลับหักหลังเธอ และแม้หลังจากไปเข้าร่วมกับกลุ่มชาวจีนแล้ว ยังไม่ปล่อยเธอไป
เรื่องมันผ่านมาสี่ปีแล้ว ยังคงจงใจคิดจะฆ่าเธออีก
ทำไม
เฉียวฉีมึนงงเล็กน้อย
ตามหลักแล้ว ถ้าตอนแรกจะใช้เธอเป็นเครื่องมือ เพื่อยุแยงให้เกิดความแตกแยกระหว่างสมาคมกลุ่มหงส์แดงกับกลุ่มมังกร แต่พวกเขาถูกกลุ่มชาวจีนซื้อตัวไปนานแล้ว รอเพียงทำงานให้สำเร็จ ก็จะสามารถถอนตัวได้เมื่อทำงานสำเร็จ