เฉียวฉีไม่ได้เดินไปไหนไกล เธอเพียงแค่นั่งอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหน้าตึกรองครู่หนึ่งเท่านั้น
แสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องลงมากลางศีรษะ ราวกับสำลีผืนใหญ่ที่อ่อนนุ่ม และห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นเป็นชั้นๆ
เสี่ยวเยว่เดินตามเธออยู่ข้าง ๆ หล่อนกลัวว่าเธอจะถูกลมพัดปลิว หล่อนจึงเอาผ้าห่มผืนบางออกมาคลุมให้เธอ
“คุณเฉียวดอกบัวในสระทางโน้นกำลังจะบาน คุณอยากจะไปดูสักหน่อยไหมคะ?”
ด้านนอกสุดของสวนดอกไม้ที่ปราสาทมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ โดยปกติแล้วลุงโอจะเป็นคนดูแลมัน ส่วนกู้ซือเฉียนไม่ค่อยได้ไปดูมันเท่าไหร่นัก
ลุงโอคิดว่าสวนตรงนั้นมันว่างเปล่าและรกร้าง ดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนเอาดอกบัวไปปลูก
ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือนเมษายน ถ้าจะพูดตามหลักแล้ว มันก็ยังไม่ใช่ฤดูที่ดอกบัวจะบาน
แต่อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศช่วงนี้เริ่มอุ่นขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะดอกบัวพันธุ์ที่ลุงโอสั่งให้คนเอาไปปลูกไม่เหมือนกับดอกบัวทั่วๆ ไป เพราะอย่างนั้นในเวลานี้ จึงมีดอกบัวตูมผุดขึ้นมาจำนวนมาก
เฉียวฉีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอคิดว่าเธอก็ไม่ได้มีธุระอะไรที่จะต้องไปทำ เพราะอย่างนั้นไปดูหน่อยก็ได้
เธอจึงตอบตกลง
เสี่ยวเยว่จึงผลักวีลแชร์ของเธอด้วยความดีใจ
เมื่อมาถึงสระน้ำและทอดมองออกไป มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะตอนนี้มีดอกบัวสีชมพูและสีขาวน้อยใหญ่เรียงรายกันอยู่บนใบบัว กำลังบานไม่น้อยเลยทีเดียว
บางส่วนยังเป็นดอกตูม แต่ส่วนใหญ่ก็กำลังจะบาน
เสี่ยวเยว่รู้สึกประหลาดใจและดีใจไม่น้อย
“ไอ้หยา เมื่อสองวันก่อนฉันยังเห็นว่า พวกมันยังเป็นดอกตูมอยู่เลย ทำไมมันถึงบานเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
ขณะที่หล่อนพูด หล่อนก็วิ่งไปดึงมันมาหนึ่งดอก
เฉียวฉีมองดูดอกไม้สีขาวราวกับหิมะ มันดูละเอียดอ่อนและสวยงามเมื่อตัดกับฉากหลังของใบไม้สีเขียว การที่ได้มองมันเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ในใจของผู้คนรู้สึกหลงใหล และก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกริมฝีปากและยิ้มออกมา
“เธอไปดึงดอกไม้ของลุงโอมาแบบนี้ ระวังถ้าเขารู้ เขาจะมาว่าเธอนะ”
เธอพูดติดตลกออกไป
เสี่ยวเยว่จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คงจะไม่เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ ลุงโอดีจะตายไป ดอกไม้ที่เขาปลูกคราวก่อนพอมันบานแล้ว เขาก็ยังสั่งให้คนไปตัดบางส่วนเอามาให้เราเลย แล้วเขาก็ยังบอกอีกว่าห้องของผู้หญิงต้องมีดอกไม้ เพราะมันจะทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น เพราะอย่างนั้นเขาไม่ว่าอะไรเราแน่นอนค่ะ”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินดังนั้น เธอก็คลี่ยิ้มออกมา
ลุงโอเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาเป็นคนใจดี และมีน้ำใจให้กับทุกคน
ทั้งสองกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ แต่จู่ๆ เสี่ยวเยว่ก็หยุดชะงักขึ้นมาดื้อๆ
หล่อนออกตัววิ่งไม่กี่ก้าว ก็มาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของเฉียวฉี จากนั้นหล่อนก็พูดกระซิบกระซาบออกไปเสียงเบาว่า “คุณเฉียวคุณดูนั่นสิ ผู้หญิงคนนั้นคือคุณหลินไม่ใช่หรือ?”
เฉียวฉีเอียงศีรษะเล็กน้อย และมองไปตามทิศทางที่หล่อนชี้
และเมื่อมองไปทางนั้น เธอก็เห็นหลินเยว่เอ๋อร์ที่กำลังเร่งรีบ หล่อนก้มหน้าลงเล็กน้อย และเดินไปอีกทางหนึ่ง
เสี่ยวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
“หล่อนจะไปไหน? ทางนั้น…ไม่ใช่ที่ที่คุณชายอยู่หรือ? คุณชายบอกว่าถ้าไม่มีธุระอะไร เขาไม่อนุญาตให้ไปหาเขาตอนกลางวันไม่ใช่หรือ?”
ใบหน้าของเฉียวฉีเฉยชา แต่ดวงตาของเธอกลับแข็งกร้าวขึ้น
เธอจึงพูดออกไปเสียงเบาว่า “บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรก็ได้”
หลังจากพูดจบ เธอก็หลับตาลง
เสี่ยวเยว่มองดูปฏิกิริยาของเธอ และหล่อนก็เห็นว่าใบหน้าของเธอก็ไม่ได้แตกต่างไปจากปกติ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่แววตาของเธอก็สั่นไหวเล็กน้อย
จากนั้น หล่อนจึงพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มว่า “มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ คุณชายเกลียดหลินเยว่เอ๋อร์จะตายไป แล้วเขาจะให้หล่อนไปพบทำไม? เพราะคนที่เขาอยากจะเจอคือคุณต่างหาก”
เฉียวฉีลูบนิ้วเรียวของตัวเองไปบนกระโปรงอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น และหันไปมองหล่อน
สายตาของเธอเฉียบคม ราวกับใบมีดที่สามารถผ่าทุกอย่างได้เป็นเสี่ยงๆ เธอมองตรงไปที่เสี่ยวเยว่ และถามออกไปว่า “ทำไมเธอถึงพูดอย่างนั้น?”
เสี่ยวเยว่ยิ้มออกมาอย่างสดใส
“ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่คะ ใครๆ ก็ดูออกว่า หัวใจของคุณชายอยู่ที่คุณ คุณเฉียว แต่หลินเยว่เอ๋อร์ไม่ยอมรับมัน คุณรู้ไหมว่าคุณชายมาหาคุณกี่ครั้ง? แล้วเขาไปหาหล่อนกี่ครั้ง? ถ้าไม่ใช่เพราะความไร้ยางอายของหล่อนที่ไปหาเขาถึงหน้าประตูเองทุกครั้ง บางทีคุณชายก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่ามีคนแบบหล่อนอยู่ในปราสาทด้วย”
ริมฝีปากของเฉียวฉีกระตุกด้วยความเย้ยหยัน และในดวงตาของเธอ มันก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
“อ้อ? คำพูดพวกนี้ ใครสอนเธอหรือ?”
เสี่ยวเยว่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
เมื่อหล่อนสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังยิ้ม แต่ในดวงตาของเธอมันกลับมีชั้นของความเย็น ซึ่งปกคลุมเหมือนกับน้ำแข็ง
จู่ๆ หล่อนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปทันที จากนั้นหล่อนก็รีบพูดอธิบายออกไปว่า “ฉันก็แค่พูดไร้สาระเท่านั้นเองค่ะ คุณเฉียวคุณไม่ต้อง…”
“หลังจากนั้นต่อไปนี้อย่าพูดเรื่องนี้อีก”
เฉียวฉีหันไปมองทางอื่น ราวกับว่าเธอไม่อยากจะจู้จี้จุกจิกกับหล่อนอีก
เธอมองตรงไปข้างหน้า และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบว่า “ฉันกับหล่อนไม่ใช่คนเดียวกัน เพราะอย่างนั้นจะเอาไปเปรียบเทียบกันไม่ได้ ฉันกับกู้ซือเฉียนไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่คุณคิด ดังนั้นพวกเขาจะใกล้ชิดหรือไม่ หรือกู้ซือเฉียนจะไปหาหล่อนรึเปล่า มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน เพราะอย่างนั้นหลังจากนี้ต่อไปอย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฉันอีก”
หัวใจของเสี่ยวเยว่ถึงกับสั่นไหว
สายตาของหล่อนจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธออย่างระมัดระวัง และหล่อนก็เห็นเพียงแค่ความจริงจังและความตั้งใจแน่วแน่ และไม่มีการล้อเล่นแต่อย่างใด
นั่นจึงทำให้หล่อนตระหนักได้ว่า เธอจริงจัง
หล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก และรีบตอบรับออกไปเสียงเบาว่า “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินหล่อนแบบนั้น จู่ๆ เธอก็หมดอารมณ์ที่จะเดินต่อ
หลังจากที่นั่งได้ไม่นาน เธอก็ให้หล่อนผลักวีลแชร์เพื่อที่จะกลับ
เมื่อกลับมาถึงห้อง เธอก็นึกถึงสิ่งที่เสี่ยวเยว่พูดเมื่อสักครู่นี้ จากนั้นเธอก็หัวเราะเยาะตัวเอง
ในใจของกู้ซือเฉียนมีเธออย่างนั้นหรือ?
เหอะ เธอกลัวว่าแม้แต่กู้ซือเฉียนเองก็คงจะไม่เชื่อ ถ้าเขาได้ยินคำพูดพวกนี้
ในใจของเธอมีความรู้สึกประชดประชันขึ้นมา และเธอก็ขี้เกียจที่จะมาคิดเรื่องนี้อีก เธอจึงโยนทุกอย่างทิ้งไป และตรงไปพักผ่อน
ในเวลานี้ อีกด้านหนึ่ง
หลินเยว่เอ๋อร์รู้สึกมีความสุขมาก
หลังจากที่อยู่ปราสาทมานาน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่กู้ซือเฉียนเรียกหาหล่อน
แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะไม่รู้ว่า เขาเรียกให้หล่อนมาที่ตึกหลักทำไม แต่พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว มันจะต้องไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน
และยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาเรียกหาหล่อน นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของหล่อนแล้ว เพราะมันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญในความสัมพันธ์ของพวกเขา
และไม่ว่าครั้งนี้เขาจะให้หล่อนทำอะไร หล่อนก็ยินดีทำทุกอย่าง
ถึงแม้ว่าจะเป็น… การที่หล่อนจะต้องอุทิศร่างกายให้เขาก็ตาม
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของหล่อนมันก็เต้นแรงมากขึ้นไปอีก
หล่อนเดินเข้ามาถึงห้องโถงของตึกหลักอย่างรวดเร็ว หล่อนเห็นเพียงแค่ฉินเยว่ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น เมื่อเขาเห็นหล่อน เขาก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้ามา
“คุณหลินคุณมาแล้วหรือครับ คุณชายกำลังรอคุณอยู่ที่ชั้นบน”
ชั้นบน?
หลินเยว่เอ๋อร์ถึงกับตะลึง
ต้องรู้ก่อนว่า ชั้นบนเป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวของกู้ซือเฉียน และโดยปกติแล้วก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นไป
ครั้งก่อน หล่อนใช้ความพยายามอย่างมากในการวิ่งไปที่ห้องหนังสือ แต่สุดท้ายหล่อนก็ถูกเขาโยนออกมา
แต่วันนี้เขากลับจงใจเชิญหล่อนให้ขึ้นไปหาอย่างนั้นหรือ?
หรือว่า เขาพร้อมที่จะยอมรับหล่อนแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเยว่เอ๋อร์ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ราวกับว่าในหัวใจของหล่อนมีกระต่ายตัวน้อย ที่เอาแต่กระโดดโลดเต้นไม่หยุด
หล่อนพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็เดินตามฉินเยว่ขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
ณ ห้องรับแขกชั้นบน ในเวลานี้
ในห้องที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง กู้ซือเฉียนไม่ใช่คนเดียวที่นั่งอยู่ในนั้น
บนโซฟาขนาดใหญ่ มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วย โดยซ้อนทับขาเรียวสวยเข้าด้วยกัน หลังพิงกับพนักพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งวางบนที่วางแขนบนโซฟา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือซิการ์ชั้นดีเอาไว้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มและสูบบุหรี่ พร้อมกับพูดคุยกับกู้ซือเฉียนไปด้วย
ส่วนทางด้านของกู้ซือเฉียน เขายังดูเย็นชาและสูงส่งสง่างาม เขานั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวฝั่งตรงข้าม อีกทั้งยังแสดงท่าทางสงบและมั่นใจในตนเอง นัยน์ตาของเขาคมกริบและมีการคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น